<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

(Y) ฟองสบู่ Bitcoin แตกแล้วจริงหรือ?

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

สองสามวันนี้ ราคา BTC ได้ปรับตัวลงจาก 110,000 บาท เหลือเพียง 62,000 บาท เป็นการลดลงกว่า 43% จนเสียงร้องดั่งหมูถูกเชื่อดดังกึกก้องทั่ว Bitcoin Thai Club และมีอีกหลายท่านได้สรุปว่า ฟองสบู่ Bitcoin แตกแล้ว

ก่อนที่จะสรุปว่าฟองสบู่ BTC ครั้งนี้แตกหรือไม่ ผมพอมีสถิติบางอย่างอยากให้ท่านได้ดูซักหน่อย

2012-1-11 ราคา BTC 7.25 USD หลังจากนั้น ราคาปรับตัวลงเหลือเพียง 3.88 ในวันที่ 2012-01-27 ลดลง 46%

2012-08-15 ราคา BTC พุ่งถึง 16.41 หลังจากนั้น ก็ปรับตัวลงเหลือเพียง 7.10 ในวันที่ 2012-08-19 ลดลง 56%

2013-04-10 ราคา BTC พุ่งไปถึง 259.34 และลงมาเหลือ 49 ในวันที่ 2013-04-16 ลงลง 81%

2013-11-30 ราคา BTC พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 1163 ก่อนที่จะปรับตัวลงต่ำสุดในวันที่ 2015-01-14 ที่ราคา 152.40 ลดลง 86%

2016-06-16 ราคา BTC พุ่งขึ้นเป็น 773 ก่อนที่จะลงไปยัง 465.25 ในวันที่ 2016-08-02 ลดลง 39%

2017-01-04 ราคา BTC พุ่งขึ้นเป็น 1,139.89 ก่อนลงมาที่ 755 ในวันที่ 2017-01-10 ลดลง 33%

2017-03-10 ราคา BTC พุ่งขึ้นเป็น 1,350 ก่อนจะลงมาที่ 891 ในวันที่ 2017-03-25 ลดลง 34%

นี่เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆการแกว่งของราคา BTC ซึ่งจะเห็นได้ว่า การขึ้นแต่ละครั้ง มีโอกาสแกว่งลงไม่ต่ำกว่า 30% เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก

เพียงแต่เมื่อก่อน ราคา BTC ยังไม่สูงมากนัก การแกว่งก็ดูไม่รุนแรงมากนัก เพราะตัวเงินไม่มาก แต่ตอนนี้ ราคา BTC พุ่งแตะ 3,000 USD เรียบร้อย อยู่ๆคนไปซื้อที่ราคา 100,000 บาท แล้วมาเห็นอีกทีเหลือแค่ 62,000 บาท ย่อมอกสั่นขวัญหายเป็นเรื่องธรรมดา

แต่ข้อเท็จจริงก็คือ นี่คือนิสัยของ BTC ในเมื่อเป็น digital asset ที่สามารถซื้อขายได้ 24 ชั่วโมง และไร้มีกฎระเบียบเข้ามากำกับเฉกเช่น ตลาดหุ้น การขึ้นลงแบบนี้ก็ย่อมไปได้ ไม่แปลกเลย

ยังเร็วเกินไปที่จะสรุปว่า ฟองสบู่ Bitcoin แตกแล้ว ณ เวลานี้

แล้วถ้าฟองสบู่ยังไม่แตก แล้วราคา Bitcoin สามารถไปถึงไหน

ราคา Bitcoin สามารถไปถึงตรงไหน

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ผมอยากให้ดูกราฟ 1W นี้เสียก่อน

จะสังเกตุได้ว่า ตั้งแต่ปี 2012 ราคา BTC ผ่านการยกตัวมาแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง

ครั้งแรก ยกตัวจาก 9 USD สู่ 275 USD ยกตัวขึ้นมา 30 เท่า

ครั้งที่ 2 ยกตัวจาก 100 USD สู่ 1200 USD ยกตัวขึ้นมา 12 เท่า

ครั้งที่ 3 ยกตัวจาก 200 สู่ 3000 USD ยกตัวขึ้นมา 15 เท่า

หากสังเกตุดีๆ การยกตัวครั้งที่ 1 และ 2 ใช้เวลาไม่นาน เหมือนเป็นเหตุการณ์ที่ต่อเนื่อง

หากเป็นเช่นนี้ การยกตัวครั้งที่ 3 ที่เริ่มต้นเมื่อกลางปี 2015 นั้น มาถึงเวลานี้ก็น่าจะสิ้นสุด และกำลังจะมีการยกตัวครั้งที่ 4 เกิดขึ้นอีกครั้ง

เมื่อเราเอาการยกตัวของครั้งที่ 1 รวมกับครั้งที่ 2 สรุปคือยกตัวขึ้นมา 133 เท่า

ถ้าเป็นเช่นนี้ เมื่อครั้งที่ 3 และครั้งที่ 4 ก็สมควรต้องขึ้นมาอีก 100 เท่า ก็น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งก็คือราคา BTC อาจไปถึง 200 x 100 = 20,000 USD

ฟังดูแล้วเหมือนบ้าคลั่ง ถ้างั้นเอาครึ่งเดียวละกัน 10,000 USD พอ

ความเห็นผมอาจสุดโด่ง แต่ท่านไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย ถึงไม่ถึงไม่ว่ากัน อนาคตเราค่อยมาย้อนดูบทความนี้ใหม่ได้


ทำไมจึงกล้าทำนายราคา BTC สูงขนาดนั้น

หลายคนบอกว่า BTC เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ราคาที่ได้มาตอนนี้ ได้จากการปั่นทั้งนั้น เป็นแชร์ลูกโซ่ มีที่ไหนใช้คอมขุดได้แล้วมีมูลค่า

แต่สำหรับผมแล้ว ส่วนตัวผมกลับมีความเห็นว่า มูลค่าของ BTC นั้น มีอยู่จริง และเป็นสิ่งที่มนุษย์อย่างเราๆ ไม่ค่อยมีกัน นั่นก็คือความน่าเชื่อถือ (TRUST)

BTC เป็นระบบการเงินเดียวที่สามารถทำหน้าที่ส่งเงินให้แก่กันและกันโดยไม่เกิดข้อผิดพลาดเลยตลอดระยะเวลา 9 ปี ตั้งแต่ถูกปล่อยออกมา และที่สำคัญ การโอนเงินดังกล่าว ไม่ต้องพึ่งคนกลางอย่างธนาคารให้ยุ่งยาก

ธุรกรรมบน BTC ถูกต้องเสมอไม่มีข้อถกเถียงได้ และทุกคนสามารถตรวจสอบความถูกต้องบน Blockchain ด้วย Block Explorer ใครบอกส่งแล้ว แต่ไม่ส่งจริง ก็จะไม่มีหลักฐานปรากฎบน block explorer จับโกหกได้เลย ไม่ต้องเถียง

เมื่อธุรกรรมมีความน่าเชื่อถือสูง ความเชื่อมั่นระบบจึงบังเกิด ก่อเกิดการลงทุนธุรกิจเกี่ยวข้องมากมายเป็นลูกโซ่ ไม่ว่าจะเป็นเหมืองขุด ตลาดแลกเปลี่ยน และนำไปใช้ชำระเงินตามธุรกิจ รวมทั้งเกิดลูกเกิดหลานอาทิเช่น Etheruem นำไปต่อยอดทำเป็น Smart Contract

การได้มาซึ่ง Bitcoin ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ คุณสามารถได้มาอยู่ 2 ทาง

  1. ขุด
  2. ซื้อมาจาก Exchange

สำหรับกรณีขุดนั้น ปัจจุบันต้องใช้ต้นทุนมหาศาล นอกจากค่าเครื่องขุดที่แสนแพงแล้ว ยังมีค่าไฟที่แพงลิบลิ่ว แถมความยากในการขุด Bitcoin ที่เพิ่มขึ้นตลอดเมื่อเวลาผ่านพ้นไป อีกทั้งจำนวน BTC ที่ขุดได้ก็จะมีการลดจำนวนลงเรื่อยๆ

เท่าที่ทราบ ณ ปัจจุบัน ต้นทุนได้มาซึ่ง 1 BTC นั้นอยู่ที่ 8,000 CNY หรือ 1,181 USD ตัวเลขนี้ได้มาจากเหมือง Bitcoin ที่ประเทศจีน มีความน่าเชื่อถืออยู่มาก

ในเมื่อต้นทุนการขุด Bitcoin สูงขนาดนี้ มีหรือราคาจะอยู่แค่นี้ คงไม่มีคนอยากทำธุรกิจขาดทุนหรอก

ปัจจัยเหล่านี้ล้วนผลักดันให้ BTC มีมูลค่า และมีมูลค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ

ระยะยาวแล้ว คุณอาจจะไม่เห็นราคา BTC ที่ปัจจุบัน ตอนนี้ลงทุนซื้อซัก 1 BTC เก็บไว้ ซัก 4-5 ปี ถือว่าเป็นการลงทุนระยะยาว ส่วนตัวผมคิดว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น