<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เงินเฟ้อไทยพุ่งแตะ 7.66% กระทบ Crypto จริงไหม ? กูรูชื่อดัง “Kim Property Live” มีคำตอบ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

แม้ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีในวันนี้จะเริ่มมีการฟื้นตัวกลับมาเป็นสีเขียวบ้างเล็กน้อยและราคา Bitcoin ที่สามารถฟื้นตัวขึ้นมายืนเหนือ 20,000 ดอลลาร์ได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าข่าวเงินเฟ้อไทยที่ได้ประกาศตัวเลขล่าสุดพุ่งแตะ 7.66% ทำให้หลายคนรวมถึงกูรูชื่อดังในไทยเริ่มมองว่าสิ่งนี้อาจกระทบกับตลาดคริปโตไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

และในวันนี้เองทาง Siam  Blockchain ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาฯ ชื่อดังในไทย รวมทั้งยังเป็นกูรูด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่กับ ”คุณคิม ชัชวาลย์ วัฒนะโชติ” หรือผู้ก่อตั้ง Kim Property Live ช่อง Youtube ที่มียอดผู้ติดตามบนช่องกว่า 7.8 แสนคน เพื่อสอบถามประเด็นเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดคริปโตในปัจจุบัน ไปจนถึงเรื่องเงินเฟ้อในไทยที่พุ่งขึ้นสูงถึง 7.66%

สถานการณ์ตลาดคริปโตในปัจจุบัน

คุณคิมได้กล่าวถึงตลาดคริปโตที่มีการปรับฐานอย่างต่อเนื่อง ในช่วงตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า ได้รับส่งผลกระทบจากข่าวการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯอย่างต่อเนื่องหลายครั้งและอาจจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยหลังจากนี้ด้วย

“มีการขึ้นดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งแล้ว 0.25, 0.5 และ 0.75% แล้วก็อาจจะมีการขึ้นดอกเบี้ยต่อจากนี้ในการประชุม FOMC ครั้งต่อไป เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่ผ่าครึ่ง แบ่งแยกอย่างชัดเจน ด้วยเงินเฟ้อที่รุนแรง การทำ QT ดึงเงินออกจากระบบเศรษฐกิจ”

ด้วยปัจจัยนี้เองที่ทำให้คุณคิมมองว่า ภาคธุรกิจกำลังถูกกดดันอย่างหนัก จากเงินดอลลาร์ที่ถูกดึงออกจากระบบไปทำให้มีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น พูดง่าย ๆ ก็คือ “ถ้าหากวันนี้ดอกเบี้ยขึ้น ถ้าเราไปถือเงินสดหรือพันธบัตร ผลตอบแทนก็จะค่อนข้างสูง กลับกันถ้าเป็นหุ้นเทคโนโลยีปันผลก็จะต่ำมาก หรือบางตัวอาจจะไม่ได้ปันผลเลย ดังนั้นหลายคนก็อาจจะมองว่าถ้าเราลงทุนในตราสารทางการเงินเช่น พันธบัตรรัฐบาล เงินสดฝากแบงก์ดีกว่าไหมถ้าดอกเบี้ยสูงขนาดนี้ และผู้คนเลือกเทขายหุ้นมาเข้าพวกเงินสดแทน”

ด้าน Cryptocurrency เองหรือหุ้นเทคโนโลยีเองที่เติบโตมาที่ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ได้รับการกระตุ้นจากการทำ QE ในช่วงโควิด ก็จะเห็นได้ว่าพอไม่มีที่ไปเม็ดเงินก็ไหลเข้าสู่สินทรัพย์ที่ความเสี่ยง และ Bitcoin ก็ได้รับอานิสงส์นี้ไปด้วย

นอกจากนี้คุณคิมยังกล่าวด่วยว่า นอกเหนือจากเรื่องของเศรษฐกิจ Crypto ที่ได้รับมาจากฝั่งของสหรัฐฯ อเมริกาแล้ว Crypto เองก็จะได้รับผลกระทบจากปัญหาส่วนตัวของทาง Crypto เองด้วย เนื่องจาก Crypto เป็นตลาดที่อยู่นอกเหนือจากการควบคุม จึงมีการทำในเรื่องของลอเวอเรจที่ค่อนข้างสูง ไม่ว่าจะเป็นกองทุน และหุ้นที่เอาเงินของลูกค้าไปลงทุนต่อแต่ด้วยสถานการณ์วิกฤตช่วงขาลงของตลาดปัจจุบัน ทำให้กองทุนเหล่านี้เสี่ยงล้มละลายจากสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมได้

“มีกองทุนหลายกองทุนที่เอาเงินของลูกค้าไปลงทุนต่อเช่น การลงทุนใน Luna (Terra) ทั้งเหรียญหลักและเหรียญ Stablecoin ทำให้เงินมูลค่ากว่า 1 แสนล้านดอลลลาร์หายวับไปกับตา ทำให้กองทุนหลายกองทุนที่เข้าไปถือเหรียญนี้อยู่ เช่น 3AC หรือเซลเซียสสูญเสียสภาพคล่องอย่างหนัก เสี่ยงต่อการถูกบังคับขายสินทรัพย์หลักประกัน”

เงินเฟ้อในไทยเกี่ยวข้องหรือส่งผลกระทบอะไรต่อ Bitcoin

สำหรับประเด็นร้อนแรงที่ว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นถึง 7.66% สูงสุดในรอบ 13 ปี จะส่งกระทบอย่างต่อตลาดคริปโตและ Bitcoin หรือไม่นั้น ด้านคุณคิมมองว่าตลาดคริปโตเคอเรนซี่มีตลาดของมันที่ยังค่อนข้างเล็กมากในประเทศไทย ซึ่งอาจไม่ได้กระทบต่อภาพใหญ่ขนาดนั้น

ในส่วนของคำถามที่ว่าเงินเฟ้อในประเทศไทยและการขึ้นดอกเบี้ยที่คาดว่าจะมีขึ้นในเดือนสิงหาคมนั้นเกี่ยวข้องกับ Bitcoin ไหมนั้น คุณคิมกล่าวว่า :

“ถ้าถามว่าเกี่ยวกับเงินเฟ้อเกี่ยวกับ Bitcoin ไหม ถ้าจะเกี่ยวผมมองว่าก็น่าจะเกี่ยวกับในเรื่องของเงินบาทอยู่เหมือนกันนะครับ เพราะถ้าเรามองในแง่ของประเทศที่สกุลเงินอ่อนค่าทั่วโลกตัวอย่างเช่น ลีร่าตุรกี ราคา Bitcoin ก็กำลังขึ้นเลยเพราะเงินมันอ่อนค่าลง เพราะฉะนั้นเมื่อเทียบกับเงินไทยบาท ถ้าเงินไทยบาทอ่อนลงเมื่อไหร่ ราคา Bitcoin ก็อาจจะราคาขึ้นก็ได้ แต่ถ้าไทยบาทแข็ง ราคา Bitcoin ก็อาจจะยังทรง ๆ ต่อไปตามตลาดโลก ดังนั้นจะต่อดูว่าไทยจะมีนโยบายในการรักษาค่าเงินบาทอย่างไร”