<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เราจะใช้เทคโนโลยี Blockchain มาเพื่อช่วยรักษาโลกของเราไว้ได้อย่างไร

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะให้เทคโนโลยี Blockchain เติบโต หากไม่ทำให้มันสามารถช่วยเหลือโลกของเราได้

ในคอลัมน์ Expert Take รายเดือนของนาง Selva Ozelli ได้นำเสนอความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับประเด็นทางกฏหมายที่ผลกระทบต่อคริปโตและ Blockchain

ในเดือนมิถุนายน องค์การสหประชาชาติได้จัดงาน “Stockholm+50” เพื่อมุ่งมั่นพัฒนาสิ่งต่าง ๆ ให้ยั่งยืนตลอดจนช่วยให้โลกสามารถฟื้นตัวจากผลกระทบจาก COVID-19 ซึ่งงานนี้เป็นงานที่จัดขึ้นหลังจากการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยสิ่งแวดล้อมของมนุษย์ครั้งแรกในปี 1972 เป็นเวลา 50 ปี ทำให้ผู้นำโลกมีโอกาสได้ไตร่ตรองวิธีการดำเนินการต่าง ๆ ด้านสิ่งแวดล้อมเป็นเวลา 5 ทศวรรษ โดยเน้นที่การแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศของโลก ธรรมชาติ และวิกฤตมลพิษคาร์บอนไดออกไซด์

งานศิลปะของนาง Selva Ozelli ที่มีชื่อว่า Reef Dwellers เป็นงานศิลปะที่เกี่ยวข้องกับงาน Stockholm+50 โดยเป็นการยกย่องบทบาทของมหาสมุทรในชีวิตประจำวันและพยายามสร้างแรงบันดาลใจในการปกป้องแนวปะการัง ซึ่งกินพื้นที่เพียง 0.1% ของพื้นผิวทะเลทั่วโลก และเป็นสิ่งที่ช่วยสนับสนุนความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลมากกว่า 25%

มหาสมุทรทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับ CO2 ทางธรรมชาติขนาดใหญ่ ซึ่งดูดซับ 25% ของปริมาณ CO2 ที่ปล่อยออกมาในแต่ละปี และมหาสมุทรก็เป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตถึง 80% ซึ่งมีส่วนช่วยในการผลิตออกซิเจนปริมาณครึ่งนึงของโลก ตามรายงานของ United States National Oceanic and Atmospheric Administration

“ผลกระทบที่เกิดขึ้นมากกว่า 90% ของภาวะโลกร้อนในช่วง 50 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นในมหาสมุทร”

ปริมาณความร้อนที่เกิดขึ้นในมหาสมุทรนั้นเทียบเท่ากับระเบิดปรมาณูฮิโรชิม่าห้าลูกที่ถูกทิ้งลงไปในมหาสมุทร

Blockchain จะมีส่วนช่วยในการอนุรักษ์แนวปะการังและมหาสมุทรได้อย่างใน

Future Thinkers ได้สรุปแนวทางในการใช้เทคโนโลยี Blockchain มาใช้ปกป้องสิ่งแวดล้อม

1. Supply Chain

การใช้เทคโนโลยี Blockchain เพื่อช่วยตรวจสอบที่มาของปลาพื่อช่วยหยุดการทำประมงที่ผิดกฎหมายและไม่ยั่งยืน โดยมีโปรเจ็ค Fishcoin ซึ่งเป็นโปรเจ็คที่อยู่บน Blockchain ที่จะตรวจสอบแหล่งที่มาของอาหารทะเล โดยมีการจูงใจให้ผู้ใช้งานแบ่งปันข้อมูลตั้งแต่แหล่งที่มาจนถึงแห่งบริโภค เพื่อช่วยสร้างอุตสาหกรรมอาหารทะเลที่โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้

2. การรีไซเคิล และ 3. สนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อม

มลพิษจากขยะพลาสติกเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นทั่วโลก ในการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญเมื่อวันที่ 2 มีนาคม สมัชชาสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติตกลงที่จะสร้างสนธิสัญญาระหว่างประเทศฉบับประวัติศาสตร์เพื่อยุติมลพิษพลาสติก และจากข้อมูลของ UN ความพยายามดังกล่าวอาจส่งผลให้ปริมาณพลาสติกที่เข้าสู่มหาสมุทรลดลง 80% ภายในปี 2040 โดยลดการผลิตพลาสติกบริสุทธิ์ลง 55% และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 25% นอกจากนี้ยังสามารถประหยัดเงินของรัฐบาลได้ 70 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2040 และเป็นการสร้างงานเพิ่มอีก 700,000 ตำแหน่ง โดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในซีกโลกใต้

หนึ่งในโปรเจ็คที่จะช่วยแก้ไขปัญหามลพิษพลาสติก คือ โปรเจ็ค Diatom DAO ซึ่งได้เสนอการกำจัดขยะพลาสติกแลกโทเค็น โดยเป้าหมายของบริษัทคือการใช้ประโยชน์จากความสามารถของการกระจายอำนาจทางการเงิน หรือ DeFi เพื่อสร้าง Supply Chain ของการกำจัดพลาสติกที่เชื่อถือได้ ตรวจสอบได้ และมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะเพิ่มการรีไซเคิล ลดการใช้พลาสติก และมีการให้ทุนในการสนับสนุนโปรเจ็คที่เกี่ยวข้องกับการกำจัดขยะ และเป็นการขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ ๆ 

4. พลังงาน

นับตั้งแต่การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มขึ้น มหาสมุทรมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น 30% ซึ่งมีสาเหตุมาจากการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งมีโปรเจค Captura พยายามใช้พืชลอยน้ำที่ใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อสกัด CO2 ออกจากมหาสมุทร และมี Toucan Protocol ที่กำลังสร้างโครงสร้างพื้นฐานสำหรับตลาดคาร์บอนเพื่อเป็นเงินทุนในการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศระดับโลก เพื่อที่จะทำให้ปริมาณคาร์บอนสุทธิเป็น 0 จามข้อตกลงปารีส

5. องค์กรไม่แสวงหากำไร

โปรเจ็ค OceanDrop เป็นโปรเจ็คเพื่อการกุศลจาก Open Earth Foundation ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรที่อุทิศตนเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีโอเพนซอร์สสำหรับการดำเนินการด้านสภาพอากาศ รายได้จากการขาย NFT จะไปใช้ในการดำเนินการที่เกี่ยวกับการลดคาร์บอน และสนับสนุนโครงการนำร่องที่มุ่งขยายพื้นที่ทางทะเลที่ได้รับการคุ้มครองของเกาะโคโคสและคอสตาริกา

โปรเจ็ค Crypto Coral Tribe เป็นโปรเจ็ค NFT ที่นำรายได้ 50% ไปช่วยในการอนุรักษ์ทางทะเลและสัตว์ป่า โดยมีเป้าหมายคือการสร้างศูนย์กลางความคิดสร้างสรรค์ที่ใช้ประโยชน์จากศิลปะและเทคโนโลยีเพื่อช่วยฟื้นฟูโลกธรรมชาติ และมีเป้าหมายที่จะะปลูกปะการังทั้งหมด 3,000 ต้นทั่วโลก โดยจะผ่านเครือข่ายพันธมิตรด้านการอนุรักษ์ทางทะเล ซึ่งรวมถึง Coral Guardian, Coral Triangle Center และกองทุน Turks and Caicos Reef

6. ภาษีคาร์บอน และ 7. การเปลี่ยนแปลงสิ่งจูงใจ

ประธานาธิบดี Joe Biden ของสหรัฐฯ ได้มีนโยบายที่จะทำให้ชาวอเมริกันเลิกใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และเขาเดินหน้านโยบายดังกล่าวด้วยการวางระเบียบวาระการกำกับดูแลที่รวมภาษีคาร์บอน อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาและสงครามของรัสเซียในยูเครนทำให้แผนการของเขาต้องหยุดชะงัก

Source : CoinTelegraph