<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ข้อมูลเผย นักลงทุน Bitcoin ระยะยาวไม่ได้แห่เทขายตอนตลาดขาลง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ผู้ที่ถือ Bitcoin ในระยะยาวไม่ได้ขายมันทิ้งไปในช่วงที่ตลาดร่วงต่ำลง ต่างจากนักเก็งกำไรที่ขายมันในช่วงที่ตลาดร่วงอย่างรุนแรง

บริษัทที่เกี่ยวข้องกับคริปโตบางแห่งถูกบังคับให้เลิกกิจการ ซึ่งนี้เป็นสิ่งให้เห็นว่าตอนนี้โลกคริปโตกำลังเจอกับวิกฤต

ผู้ที่เชื่อมั่นที่แท้จริงเท่านั้นที่ยังคงถือมันอยู่

จากรายงานข้อ “The Elusive Bottom” ได้รายงานว่าในเดือนมิถุนายน Bitcoin ได้ส่งสัญญาณว่าใกล้ถึงจุดต่ำสุดแล้วจากข้อมูล On-Chain พบว่า ผู้ที่ถือ Bitcoin มามากกว่า 6 เดือน ยังคงมีจำนวนถึง 77% จากจำนวน Bitcoin ทั้งหมด 21 ล้าน BTC แม้จะลดลงจาก 80% ที่เคยบันทึกไว้ในช่วงต้นปี

สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของสินทรัพย์เนื่องจากมันมีจำนวนผู้ที่ถือครองเกิน 60% ซึ่งจากรายงานระบุว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวเป็นตัวบ่งชี้ว่าผู้ที่เชื่อถือมันจะโอกาสน้อยที่จะขาย Bitcoin ในช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน

วิกฤตเงินกู้

การร่วงของตลาดอย่างรุนแรงในโลกคริปโตนั้นได้รับผลกระทบมาจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed และการที่มีบริษัทคริปโตและนักขุดบางส่วนถูกชำระบัญชี เมื่อหลักประกันของพวกเขามีมูลค่าลดลง

แต่ในรายงานได้บอกว่า ผู้ให้กู้ที่เป็น CeFi มีผู้มากู้ยืมระยะสั้นเพิ่มมากขึ้นในช่วงสภาวะตลาดกระทิง และยังมีผู้ที่กู้เงินจำนวนมากจาก DeFi Protocol และคืนเงินให้กับคู่สัญญาที่จ่ายอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า ซึ่งผู้ให้กู้เหล่านี้ ได้ให้กองทุน Hedge Fund และหน่วยงานอื่น ๆ ยืม

วิกฤตินี้ยังคงดำเนินไปเรื่อย ๆ ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบต่าง ๆ ในโลกคริปโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการซื้อขายแบบ OTC ที่ส่วนใหญ่จะบีบบังคับให้คืนเงืนกู้บางส่วนทันที

“บริษัท OTC เหล่านั้นมีแนวโน้มที่จะขยายงบทุนและอำนวยความสะดวกในการกู้ยืมโดยไม่มีหลักประกัน โดยเงินกู้ที่ไม่มีหลักประกันจะอ้างอิงข้อมูลเครดิตในเครือข่ายและนอกเครือข่ายของ OTC อย่างไรก็ตาม เมื่อเงินกู้เหล่านี้ถูกปรับราคาใหม่หรือเรียกคืน ทางผู้ให้บริการ OTC ก็จะทำให้ลูกค้าเห็นถึง Bid-ask ที่เพิ่มขึ้น หรือขนาดการค้าที่ลดลง”

เมื่อรวมกับวิกฤตเงินกู้ที่กำลังเกิดขึ้น นักขุดที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งได้รับเงินกู้จำนวนมากจากการถือครอง bitcoin หรือเครื่องขุดในช่วงตลาดกระทิง จะถูกบังคับขาย Position ของพวกเขาท่ามกลางการร่วงของตลาด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบริษัทขุดเหมือง 28 อันดับแรก เป็นเพียง 20% ของ Hash Rate จึงทำให้การขาย Bitcoin ของพวกเขาไม่ส่งผลกระทบต่อตลาด

“แม้ราคา Bitcoin จะร่วงไปถึง 10,000 ดอลลาร์ พวกเขาต้องขาย Bitcoin เพียง 16 BTC เพื่อชำระบัญชีเราจึงคิดว่ามันไม่น่ามีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคา เนื่องจากปริมาณ Bitcoin ที่หมุนเวียนในกระดานเทรดในแต่ละวันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6 พันล้านดอลลาร์”

ความกังวลใน Stablecoin

การที่ FED ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อที่รุนแรงนั้น นักลงทุนมักจะถอนเงินทุนออกจาก DeFi Protocol เพื่อหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากระบบการเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งทำให้ส่งผลกระทบต่อ Market Cap ของ Stablecoin โดยลดลงมากจาก 1.62 แสนล้านดอลลาร์ ในเดือนพฤษาคม เหลือ 1.49 แสนล้านดอลลาร์ ในปลายเดือนมิถุนายน

มีเงินออกจาก Ecosystem ของคริปโตจำนวนถึง 1.26 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนมองหาผลแทนที่สูงขึ้น เมื่อพิจารณาดัชนี CPI ของเดือนมิถุนายนที่พุ่งแตะ 9.1% ซึ่งสูงกว่าที่ Wall Street คาดไว้มาก และทาง FED ก็คาดว่าจะตามขึ้นอีก 0.75% ในเดือนนี้ ด้วยเหตุนี้ การไหลออกของ Stablecoin อาจจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

Source : CryptoPotato