<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

อะไรจะทำให้ตลาด Crypto กลายเป็นขาขึ้นในรอบถัดไป

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ในรายงานที่ได้เผยแพรออกมาใหม่ นักวิจัยจากผู้ให้บริการข้อมูลคริปโตชั้นนำอย่าง CryptoCompare ได้ระบุว่าในขณะที่ตลาดคริปโตเข้าสู่ช่วงขาลงอย่างไม่ต้องสงสัยนั้นแต่ก็มีปัจจัยที่พวกเขาเชื่อว่าจะทำให้เกิดตลาดขาขึ้นครั้งต่อไปในอนาคตได้

ภาพรวมของรายงานไตรมาสที่ 3 ของปี 2022 โดย CryptoCompare ให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของตลาดคริปโตในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีพวกเขาระบุว่าไตรมาสที่ผ่านมาเรียกได้ว่าเป็น “หายนะ” ที่ทำให้ราคาของ BTC ปรับตัวลงไปกว่า 56.3% ในขณะที่ราคาของ ETH ปรับตัวลดลงไปกว่า 67.4%

ตามรายงานนั้นการล่มสลายของระบบนิเวศ Terra ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ black swan และแพร่กระจายความเสียหายเป็นวงกว้างซึ่ง “นำไปสู่การล้มละลายของ Three Arrows Capital และการล้มละลายของผู้ให้บริการสร้างผลตอบแทนแบบ centralized หลายแห่ง เช่น Celsius นี่เรียกได้ว่าเป็นส่งอุตสาหกรรมคริปโตเข้าสู่ตลาดขาลงแบบเต็มตัว

รายงานนี้ยังเสริมอีกว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งหนึ่งในนั้นประกอบไปด้วยเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่สูงเป็นประวัติการณ์ทั่วโลกเราได้เห็นกลุ่มสินทรัพย์รวมถึงหุ้นตัวใหญ่หลายตัวเกิดการปรับตัวลง

สิ่งที่ CryptoCompare ได้พูดถึงอีกก็คือพวกเขาเจอโอกาสในวิกฤติซึ่งเชื่อว่าจะนำไปสู่ตลาดขาขึ้นในรอบถัดไป

“เราเชื่อว่าตลาดขาลงรอบนี้จะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมที่จะนำไปสู่ตลาดขาขึ้นครั้งถัดไปในตลาดคริปโตเฉกเช่นเดียวกับนวัตกรรมที่เกิดขึ้นในตลาดดั้งเดิมหลังจากวิกฤตการเงินในปี 2008 และในคริปโตหลังจากฟองสบู่แตกในปี 2018”

รายงานระบุว่าในขณะที่เหรียญ Stablecoin กลายเป็นจุดสนใจทันทีหลังจากที่ระบบนิเวศของ Terra ล่มสลายและ UST ก็แทบจะไร้ค่า นักวิจัยเชื่อว่า “เหรียญ Stablecoin ที่มีหลักประกันนั้นมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะทนทานต่อการล่มสลายได้”

นักวิจัยของ CryptoCompare ระบุว่า “นวัตกรรมนั้นไม่ได้พัฒนาไปข้างหน้าพร้อมกันกับการเคลื่อนไหวของราคา” ซึ่งก็อาจจะหมายความว่าตลาดขาลงอาจนำไปสู่การสร้างโปรโตคอลตัวที่โดดเด่นของโลกคริปโตในอนาคต

นักวิจัยกล่าวว่านักพัฒนาที่มีความหลงใหลในจุดมุ่งหมายของพวกเขาจะ “ยังคงสร้างนวัตกรรมต่อไปโดยไม่คำนึงถึงการเคลื่อนไหวของราคา” 

รายงานประกอบด้วยกราฟจาก Chris Dixon หุ้นส่วนทั่วไปของ VC ชื่อดัง Andreessen Horowitz ซึ่งแสดงให้เห็นว่า 3 ปีหลังวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 2008 กลายเป็น “ยุคทองสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจ”

ที่มา : Cryptoglobe

.