<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

พรรคไทยสร้างไทยชี้ว่า กฎหมาย Digital Asset Business มีช่องโหว่ทำให้หลายบริษัทเสียโอกาสในการแข่งขัน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

หลังจากที่ประเด็นเรื่องของ Zipmex ล่วงเลยมาเป็นเวลานานกว่า 1 สัปดาห์ บุคคลในวงการต่าง ๆ ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวและแสดงความเห็นออกไปในทิศทางต่าง ๆ นานา

โดยล่าสุดทางผู้อำนวยการศูนย์ดิจิทัลเพื่อสร้างพลังของประชาชน ของพรรคไทยสร้างไทยก็ได้ออกมาพูดถึงเหตุการณ์นี้

ดร.ธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ ผู้อำนวยการศูนย์ดิจิทัลเพื่อสร้างพลังของประชาชน ของพรรคไทยสร้างไทย กล่าวถึงกรณีที่แฟลตฟอร์มศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลสัญชาติไทยแห่งหนึ่งประกาศระงับการถอนเงินบาทและคริปโทเคอร์เรนซีชั่วคราวเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ที่ผ่านมา ว่า 

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุญาตให้บริษัทดังกล่าวประกอบธุรกิจเป็นศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือจัดบริการอำนวยความสะดวกให้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลโดยการจับคู่สัญญา แต่ต่อมาบริษัทดังกล่าวให้บริการผลิตภัณฑ์การลงทุนซึ่งไม่ได้อยู่ในประเภทธุรกิจที่ ก.ล.ต. ให้ทำ แต่ไม่มีการห้ามไม่ให้ทำภายใต้แพลตฟอร์มเดียวกัน

“กฎหมายธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลฯ ยังมีช่องโห่ว ปล่อยบริษัท “เด็กดื้อ” เอาเปรียบผู้บริโภค ในขณะที่บริษัท “เด็กดี” เสียโอกาสในการแข่งขัน”

“เรื่องนี้อาจถือว่าเป็นการออกกฎเกณฑ์แบบ 2 มาตรฐาน เมื่อเทียบกับบริษัทประเภทอื่นที่อยู่ภายใต้กำกับของ ก.ล.ต. เช่น บริษัทหลักทรัพย์ ซึ่งถ้าจะออกผลิตภัณฑ์หรือการบริการใหม่จะต้องขออนุญาตก่อนว่าทำได้หรือทำไม่ได้ โดยจะไม่ปล่อยให้ทำก่อน แล้วพอนำมาซึ่งความเสียหาย ก็ค่อยมาตามแก้กันทีหลังเหมือนกรณีของศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลดังกล่าวที่นำสินทรัพย์ของลูกค้าไปลงทุนต่อในแพลตฟอร์มกู้ยืมและบริหารจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล จนสุดท้ายประสบปัญหาสภาพคล่องทางการเงินอย่างหนัก จนทำให้บริษัทต้องประกาศระงับการถอนเงินบาทและสินทรัพย์ดิจิทัลของลูกค้า”

ดังนั้นกรณีนี้จึงสะท้อนให้เห็นช่องโหว่ทางกฎหมายเนื่องจาก ก.ล.ต. ไม่มีการแก้ไขกฎเกณฑ์หรือกรอบการขออนุญาตเพิ่มเติมให้เท่าทันกับธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ตั้งแต่มีพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลฯ พ.ศ. 2561 มา ไม่ว่าจะเป็นมาตรการด้านการปกป้องความเสียหายของนักลงทุน หรือมาตรการด้านการสนับสนุนพัฒนาการให้ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลไทยให้เติบโต 

ดร.ธรรม์ธีร์ ได้กล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ไว้ว่า

“ความรู้ความเข้าใจของหน่วยงานกำกับดูแลต่อตัวธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ และตลาดโลก คือหัวใจสำคัญที่ทำให้สามารถออกกฎระเบียบได้อย่างถูกทิศทาง จนนำมาซึ่งความปลอดภัยให้กับนักลงทุน ในขณะที่สามารถสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมให้สามารถแข่งขันได้ในระดับสากล ซึ่งต่างกับการออกกฎเกณฑ์มาเยอะ ๆ ให้ดูแน่น ๆ ไว้ก่อน แต่อาจไม่มีประสิทธิภาพ จนส่งผลมุมกลับ ทำให้บริษัทที่เปรียบเสมือน “เด็กดื้อ” ยังไงสามารถหาช่องโหว่เพื่อเอาเปรียบผู้บริโภคและบริษัทอื่นได้อยู่ดี ในขณะที่บริษัทที่เปรียบเสมือน “เด็กดี” กลับต้องลำบากทำตามกฎเกณฑ์มากมายเกินความจำเป็น จนเติบโตช้าและเสียโอกาสการแข่งขันในระดับสากล”

Source : พรรคไทยสร้างไทย