<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

หุ้นบริษัทเหมืองขุด Bitcoin เพิ่มสองเท่าในเดือนเดียว หลังตลาดคริปโตฟื้น

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ราคาของหุ้นบริษัทขุด Crypto กำลังเพิ่มขึ้นมากถึง 120% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ท่ามกลางตลาดคริปโตที่กำลังฟื้นตัว ส่งผลทำให้ความสามารถในการทำกำไรจากการขุดที่สูงขึ้น

บริษัทขุด Crypto ชื่อดัง Marathon Digital Holdings, Core Scientific, Hut 8 และ Riot Blockchain กำลังมีราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้นในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ตามข้อมูลจาก Yahoo Finance ซึ่งมีอัตราการเพิ่มขึ้นที่เหนือกว่าราคาสินทรัพย์อย่าง Bitcoin (BTC) และ Ether (ETH) อย่างมีนัยสำคัญ

ในการยื่นผลประกอบการไตรมาส 2 เมื่อวันที่ 11 ส.ค. Core Scientific รายงานว่าพวกเขาสามารถขุด Bitcoin เพิ่มขึ้นถึง 1601% เมื่อเทียบเป็นรายปี แตะ 6,567 BTC โดยรายรับในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้น 118% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 164 ล้านดอลลาร์ หลัก ๆ มาจากการขุดคริปโตและการเปิดให้บริการเช่า host

Hut 8 Mining Corp. ก็สามารถขุด Bitcoin ได้เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้ถึง 71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นจำนวน 946 BTC หลัก ๆ เป็นเพราะ “อัตราแรงขุดที่มากขึ้นจากการการอัพเกรดเครื่องขุดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น” รวมถึงการขยายกิจการเหมืองขุดในรัฐออนแทรีโอ นอกจากนี้รายรับยังเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 โดยเพิ่มขึ้น 30.7% เมื่อเทียบเป็นรายปีเป็น 43.8 ล้านดอลลาร์

Marathon Digital ซึ่งเปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 2 เมื่อต้นสัปดาห์นี้ กล่าวว่าสามารถขุด Bitcoin เพิ่มเมื่อเทียบเป็นรายปี โดยขุดได้ถึง 707 BTC ในไตรมาสนี้ แม้ว่าจะมี “สภาพแวดล้อมที่ท้าทายในระดับมหภาค” โดยสามารถขุดเพิ่มขึ้นได้ 8%

อย่างไรก็ตาม ทั้ง 3 บริษัท ยังคงขาดทุนอยู่ หลัก ๆ เป็นเพราะราคาเหรียญคริปโตที่ลดลง และพวกเขายังคงถือเหรียญส่วนใหญ่ไว้โดยยังไม่ได้ขายออก

ราคาหุ้นที่พุ่งสูงขึ้นดูเหมือนว่าจะไปพร้อม ๆ กับราคาของเหรียญคริปโต ก่อนหน้านี้มันเคยร่วงลงอย่างรุนแรงเมื่อเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม โดยสินทรัพย์ crypto ที่สำคัญรวมถึง Bitcoin (BTC) และ Ethereum (ETH) ต่างมีราคาเพิ่มขึ้น 18.0% และ 67.8% ตามลำดับ

ความสามารถในการทำกำไรจากการขุด Bitcoin ได้ฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดในปี 19 มิถุนายน ตามข้อมูลของ Bitinfocharts

บริษัทขุด Bitcoin ต้องจัดการกับปัจจัยหลายประการในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาซึ่งส่งผลกระทบต่อการขุด BTC และความสามารถในการทำกำไร รวมถึงราคาสินทรัพย์ที่ลดลงและต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากคลื่นความร้อนในเท็กซัสและความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน