<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

เพจดังสรุป เคสโกง Forex3D นัตตี้ P Miner เงินสูญกว่า 6,000 ล้านบาท

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ช่วงนี้ต้องบอกเลยว่าไม่ว่าจะมองไปที่วงการไหนเหล่านักต้มตุ๋นก็แพร่ระบาดไปทั่วทุกหนทุกแห่ง โดยล่าสุดเพจ Facebook “BillionMoney” ได้ออกโพสต์สรุปถึง ประเด็นเคสโกงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่าง Forex3D, นัตตี้ และ P Miner ที่สามารถหลอกลวงนักลงทุนให้สูญเงินไปกว่า 6,000 ล้านบาท

เริ่มแรกทางเพจเล่าว่า “Forex3D” “นัตตี้” และ “P Miner” ทั้ง 3 ชื่อที่กล่าวมา ช่วงนี้พวกเราอาจคุ้นหูกันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งทั้ง 3 ชื่อต่างก็เป็นบุคคลหรือบริษัท ที่ถูกฟ้องร้องว่าโกงเงินของนักลงทุนที่นำไปลงทุนด้วย ซึ่งยอดความเสียหายรวมของทั้ง 3 คดีนี้ มีมูลค่ามากถึงประมาณ 6,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

แต่ถึงแม้ทั้ง 3 คดี จะเป็นการลงทุนในคนละสินทรัพย์, เป็นคนละบุคคลกัน แถมยังอยู่คนละพื้นที่กันอีก แต่คดีที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันจนน่าแปลกใจ

Forex3D ก่อตั้งขึ้นโดย บริษัท อาร์ เอ็ม เอส แฟมิเลี่ย จำกัด โดยมี นายอภิรักษ์ โกฎธิ เป็นเจ้าของ โดยเคสของ Forex3D เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 2562 ที่ทางบริษัทเริ่มเบี้ยวไม่จ่ายปันผล จากที่เคยสัญญาว่าจะมีผลตอบแทนที่แน่นอน ทำให้ทางผู้เสียหายหลายรายรวมตัวกันฟ้องร้องต่อตัวเจ้าของ จนเจ้าของได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ และมาโดนจับได้ในช่วง มกราคม 2565

ส่วนทางด้าน P Miner เป็นเคสที่เกิดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยทางผู้ก่อตั้งบริษัท P Miner ได้ชักชวนผู้คนมากมายมาให้ร่วมลงทุน โดยอ้างว่าจะนำเงินไปลงทุนในอุปกรณ์ขุดเหมืองคริปโทเคอร์เรนซี นอกจากนั้นยังได้มีการสร้างความน่าเชื่อถือด้วยการโพสต์ไลฟ์สไตล์ชีวิต เช่นการขับรถหรู และ ผลกำไรที่ได้จากเทรด ซึ่งทาง P Miner ยังได้เริ่มเปิดให้คนอื่นมาร่วมลงทุนตั้งแต่ปี 2563โดยทางบริษัทยังมีการรับประกันผลตอบแทนเป็นเงินปันผลที่สูงถึง 10-15% ต่อเดือนอีกด้วย

ในขณะที่เคสของยูทูบเบอร์ชื่อดังอย่าง นัตตี้ นั้น เริ่มต้นในช่วงประมาณเดือนเมษายน 2565 โดยทางยูทูบเบอร์ได้ใช้ความดังของตัวเองเชิญชวนให้คนนำเงินมาฝาก เพื่อจะนำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนและเทรดหุ้นตามที่กล่าวอ้าง

ทางยูทูบเบอร์คนดังกล่าวเอง ก็สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการออกมาไลฟ์สดแถมโชว์ผลกำไรที่ได้จากการเทรด แถมยังอ้างว่ารู้จักกับดาราดัง ๆ มากมาย จนทำให้มีผู้ติดตามหลายรายหลงเชื่อและนำเงินไปลงทุนกับทางเจ้าตัวและเมื่อดูมูลค่าความเสียหายในแต่ละคดีนั้น ก็พบว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว

  • Forex3D เสียหาย 2,489 ล้านบาท ล่าสุดคาดว่ามีผู้เสียหาย 9,824 ราย
  • นัตตี้ เสียหาย 2,000 ล้านบาท ล่าสุดคาดว่ามีผู้เสียหาย 6,000 ราย
  • P Miner 1,700 ล้านบาท ล่าสุดคาดว่ามีผู้เสียหาย 1,300 ราย

หรือพูดง่าย ๆ ก็คือทั้ง 3 เคสนี้ มีมูลค่าความเสียหายรวมมากถึง 6,189 ล้านบาท และมีผู้เสียหายรวมอย่างน้อย 17,124 คน

ทั้งนี้ทางเพจ BillionMoney ได้ตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่ทั้ง 3 คดีนี้มีร่วมกันคือ “กลยุทธ์” ในการหาคนเข้ามาเติมในวงแชร์ลูกโซ่ โดยอย่างแรกก็คือ การการันตีผลตอบแทนจำนวนมากในเวลาอันสั้น โดยที่ผู้ลงทุนไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่รอรับกำไรที่มาจากการเทรด หรือการดำเนินกิจการขุดบิตคอยน์ ซึ่งจะปันผลให้กับนักลงทุนในทุก ๆ เดือน

การการันตีผลตอบแทนให้สูง ๆ ไว้นั้น มีจุดประสงค์เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ผู้คนนำเงินมาลงทุนด้วย แต่อย่างไรก็ตาม แค่การมีจำนวนเงินมาก ๆ นั้น ไม่ได้หมายความว่าวงแชร์ลูกโซ่จะสามารถอยู่ได้นาน

เพราะถ้าหากนักลงทุนรายเก่าต้องการถอนเงินคืน ในขณะที่ไม่มีนักลงทุนรายใหม่เข้ามา แชร์ลูกโซ่ก็จะขาดสภาพคล่อง ส่งผลให้คนขาดความเชื่อถือและแห่มาถอนเงินคืน จนกระทั่งล้มไปในที่สุด

ด้วยเหตุนี้เอง แชร์ลูกโซ่เหล่านี้จึงทำการกำหนดระยะเวลาถอนทุนเพิ่มเข้าไป เพื่อกันไม่ให้รายเก่ามาขอถอนทุนคืน ในตอนที่วงแชร์ยังไม่ได้เติบโตมาก จะได้มีเวลานำเงินจากนักลงทุนรายใหม่มาจ่ายได้ทัน

สิ่งที่นักลงทุนควรเตรียมตัว เพื่อให้รู้เท่าทันแชร์ลูกโซ่

จากที่ทางเพจ BillionMoney ได้เล่าไปข้างต้นนั้น เราจะเห็นได้ว่าจุดส่วนใหญ่ที่นักลงทุนพลาดก่อนตกเป็นเหยื่อก็ล้วนมาจากการการันตีผลตอบแทนให้สูง ๆ และความโลภของเรานั่นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราควรรู้ เพื่อที่จะไม่ตกเป็นเหยื่อของกลโกงพวกนี้อย่างแรกคือ ไม่มีการลงทุนที่ไหน สามารถการันตีผลตอบแทนได้ โดยเฉพาะผลตอบแทนที่สูงมากในระยะเวลาสั้น ๆ เพราะขนาดนักลงทุนชื่อดังที่มีประสบการณ์ลงทุนมาทั้งชีวิต อย่าง Warren Buffet ยังได้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 20.1% หรือคิดเป็นแค่ประมาณ 1.7% ต่อเดือนเท่านั้น เพราะฉะนั้นการลงทุนใดที่การันตีให้ผลตอบแทนมากกว่า 20% ขึ้นไปให้เราตั้งข้อสงสัยไว้ในใจก่อนเลยว่า การลงทุนดังกล่าวนั้นอาจเข้าข่ายเป็นการหลอกลวงแชร์ลูกโซ่

และอย่างที่สองคือ เราต้องรู้จักก่อนว่า คนที่จะเอาเงินของเราไปดูแลนั้นเป็นใคร เพราะในหลาย ๆ ครั้งกลุ่มคนเหล่านี้ มักจะใช้ความมีชื่อเสียงของตัวเอง หรือแอบอ้างว่าตัวเองมีใบอนุญาตต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อถือให้กับการลงทุนมากยิ่งขึ้น และทำให้ผู้คนหลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อได้

โดยวิธีเช็กที่ง่ายที่สุดคือ นำชื่อบริษัท หรือชื่อนามสกุล ของคนที่เราคิดจะลงทุนด้วย ไปตรวจสอบข้อมูลว่ามีใบอนุญาตกับทาง ธปท. และ กลต. หรือไม่ ผ่านทางเว็บไซต์ BOT License Check และ SEC Check First ซึ่งถ้าหากไม่ปรากฏ ก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงที่จะเป็นแชร์ลูกโซ่

และสุดท้ายสิ่งที่ทางเพจ BillionMoney แนะนำให้กับนักลงทุนอย่างเราก็คือ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันต่อการโกงเหล่านี้ ด้วยการศึกษาหาความรู้ทางด้านการเงินเบื้องต้นไว้ เพราะเราทุกคนต่างก็มีความโลภกันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว

เพียงแต่ว่า ความโลภที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และความเสี่ยงที่เรายอมรับได้นั้น ก็ย่อมจะดีกว่าการที่เรามีความโลภ โดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เราลงทุนอยู่นั้น คืออะไร…

ที่มา : BillionMoney