<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Hal Finney ผู้เคยทำนายว่า Bitcoin จะมีมูลค่าสูงถึง 10 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญ ตอนนี้เขาอาจคิดผิด

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 10 มกราคม ปี 2009 นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์และ Cypherpunk อย่าง Hal Finney เคยได้ประเมินไว้ว่า Bitcoin นั้นมีศักยภาพมากพอที่จะไปถึงราคา 10 ล้านดอลลาร์ต่อเหรียญ แต่ในวันครบรอบ 11 ปีของการคาดการณ์ระดับราคาดังกล่าวของ Hal Finney นั้น ผู้คนใน Crypto Community ต่างย้อนกลับไปทบทวนคำพูดของ Finney อีกครั้ง และ Tweet ดังกล่าวถูกรีทวีตต่อไปอีกจำนวนมาก


ตามการประเมินค่า Bitcoin ของ Finney ที่มีชื่อว่า “การทดลองทางความคิดที่น่าขบขัน” เขากล่าวว่า ถ้าหาก Bitcoin กลายเป็นระบบการชำระเงินที่โดดเด่นที่สุดในโลก ราคาของมันจะพุ่งสูงขึ้น เนื่องจาก Bitcoin ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกว่าจะมีจำนวนแค่ 21 ล้านเหรียญ

การประเมินค่าตามความคิดของ Finney สืบเนื่องจากการที่ฐานะทางการเงินภาคครัวเรือนทั่วโลกอยู่ในช่วงระหว่าง 100 ถึง 300 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลาดังกล่าว ดังนั้น Bitcoin ที่มีจำนวน 21 ล้านเหรียญ แต่ละเหรียญจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านดอลลาร์

ทั้งนี้เศรษฐกิจโลกก็ได้เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ นับจากวันที่ Finney โพสต์เผยแพร่การประเมินค่าของเขา จากรายงานความมั่งคั่งทั่วโลกปี 2019 โดย Credit Suisse ได้ระบุว่า ความมั่งคั่งภาคครัวเรือนทั่วโลกมีค่าประมาณ 360 ล้านล้านดอลลาร์ ดังนั้นถ้าหากหารด้วยจำนวน Bitcoin เราก็จะพบว่า Bitcoin แต่ละเหรียญมีค่าประมาณ 18 ล้านดอลลาร์

สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า ราคาของ Bitcoin เพิ่มขึ้นมากถึง 225,000% อันเป็นการแข็งค่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระบบของ Bitcoin อย่างไรก็ตาม การประเมินค่าของ Finney นั้นขึ้นอยู่กับแนวคิด Hyperbitcoinization ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับข้อสันนิษฐานถึงจุดเปลี่ยนที่ Bitcoin กลายเป็นระบบค่านิยมเริ่มต้นของโลก (Default Value System)

หากมูลค่าเงินทั้งหมดในโลกใช้ระบบการอ้างอิงจากมูลค่าของ Bitcoin จะส่งผลให้ Bitcoin กลายเป็นจุดสนใจเพียงจุดเดียวในการโจมตีทางไซเบอร์ ดังนั้นจะมีนักขุดอีกมากมายจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องการเข้ามาปกป้องเครือข่ายมากขึ้นไปอีก รวมถึงรางวัลจากการขุดที่ได้รับก็จะลดน้อยลง ในขณะที่ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก

สถานการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเครือข่ายสามารถรับมือได้เท่านั้น ในจุดที่ความสนใจของทุกคนบนโลกพุ่งตรงไปที่ Bitcoin ในวิกฤตฟองสบู่เมื่อปี 2017 เครือข่ายพยายามดิ้นรนเพื่อจัดการกับภาระค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งการทำธุรกรรมยังใช้เวลาในการดำเนินการนานหลายชั่วโมง แม้ว่าการอัปเดต Segwit จะช่วยให้สามารถปรับขนาดได้มากขึ้น แต่ความจุของเครือข่ายเพิ่มขึ้นได้อีกเพียงสองเท่าเท่านั้น

นอกจากนี้การทำธุรกรรมด้วย Bitcoin จำเป็นต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการดำเนินการ ในประเทศที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเป็นบางจุดหรือไม่มีเลย Bitcoin จะไม่ใช่ทางเลือกที่เหมาะสม ดังนั้นถ้าหากผู้คนบนโลกกำหนดให้ Bitcoin เป็นสกุลเงินเดียวที่สามารถใช้ได้ ก็อาจมีอีกหลายประเทศที่ไม่สามารถทำแบบนั้น


ที่มา: decrypt