ธนาคารกลางจีน (PBOC) ซึ่งก่อนหน้านี้มุ่งเน้นไปที่การปราบปรามการทำธุรกรรมด้วย Bitcoin เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับประเทศ ล่าสุดตอนนี้ได้ออกมาประกาศว่าตนเองได้รับชัยชนะเหนือ Bitcoin แล้ว
ธนาคารกลางจีนมองว่า การทำธุรกรรมทางการเงินโดยใช้สกุลเงินเสมือนนั้นเป็นภัยต่อความมั่นคงทางการเงินของประเทศและการควบคุมเงินทุน ซึ่งในเวลานี้ จีนได้เผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและวิกฤตด้านอสังหาริมทรัพย์
สำนักงานความมั่นคงทางการเงินของธนาคารกลางจีนได้เขียนลงในบัญชี WeChat ในสัปดาห์นี้ว่า “ในขณะที่พวกเรากำลังปราบปรามการทำธุรกรรมและการโฆษณาสินทรัพย์เสมือน วอลุ่มการเทรด Bitcoin ในประเทศจีนก็เริ่มลดน้อยลง”
โดยทางสำนักงานชี้ให้เห็นว่าการทำธุรกรรมผ่าน Bitcoin ของจีนลดลงเหลือ 10% ในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการลดลงครั้งใหญ่จากจุดสูงสุดที่ 90% เมื่อปี 2017
ธนาคารกลางจีนยังกล่าวด้วยว่า ทางธนาคารจะยังคงปักหลักต่อสู้กับ Bitcoin ต่อไป โดยระบุว่า คริปโตเคอเรนซี่และการทำธุรกรรมแบบ peer-to-peer (P2P) เป็นภัยต่ออุตสาหกรรมธนาคาร
ทั้งหมดนี้เป็นแนวทางในการปราบปราม Crypto ที่กำลังดำเนินการโดยรัฐบาลจีน เมื่อปีที่แล้ว ทางการจีนได้สั่งแบนการเทรดและขุดคริปโตเคอเรนซี่ทุกสกุล และแบนการใช้ NFT ในฐานะสินทรัพย์ทางการเงินเมื่อเดือนเมษายน นอกจากนี้จีนยังแบนการระดมทุนผ่านเหรียญสกุลเงินดิจิทัล (ICOs) เมื่อช่วง 5 ปีก่อนอีกด้วย
แม้จะมีมาตรการที่เข้มงวดเหล่านี้ แต่ Chainalysis รายงานว่า จีนยังคงเป็น 1 ใน 10 ประเทศบน Global Cryptocurrency Acceptance Index ทั้งยังกล่าวว่าการแบน Crypto ของจีนนั้นไม่มีประสิทธิภาพหรือเป็นเพียงการบังคับใช้แบบหละหลวมเท่านั้น
ในรายงานที่ตีพิมพ์เมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาว่า Chainalysis ระบุว่า “จีนกลับมาเป็น 1 ใน 10 อันดับแรกบนดัชนีในปีนี้ จากอันดับที่ 13 ในปี 2012 และดัชนีที่แยกต่างหากยังแสดงให้เห็นว่าจีนยังคงเป็นประเทศที่มีการใช้บริการแบบรวมศูนย์อำนาจทางเศรษฐกิจอย่างเข้มแข็ง และเป็นรองในด้านกำลังการซื้อ เมื่อมองจากจำนวนการทำธุรกรรมทั้งในภาพรวมและภาพย่อย ทำให้ความพยายามในการปราบปรามคริปโตเคอเรนซีของจีนเป็นสื่งที่มีความน่าสนใจเป็นพิเศษ”
ที่มา: KITCO