<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

สรุป 5 อีเวนต์สำคัญที่ชี้เป็นชี้ตายตลาดคริปโตในปี 2022

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ไม่ว่าจะเป็นการแฮ็กมูลค่าหลายล้านดอลลาร์ไปจนถึงเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่เอาตลาด Crypto ถล่ม ซึ่งถือได้ว่าปี 2022 เป็นปีที่มีเหตุการณ์สำคัญหลายอย่างเกิดขึ้น แต่ถ้าหากจะกำหนดนิยามของตลาดในปีนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่คนส่วนใหญ่จะบอกว่าปี 2022 เป็น “ปีที่เทคโนโลยีตาย” เลยกันทีเดียว

นักลงทุนและนักเทรดหลายล้านคนที่เข้ามาดื่มด่ำกับความรู้สึกดี ๆ ในตลาดกระทิงปี 2020 – 2021 อาจตัดสินใจว่าจะเดินออกจากตลาดไปตลอดกาล เนื่องจากตลาดหมีในปี 2022 เป็นตลาดที่หลายคนมองว่ามันหนักหนาสาหัสจริง ๆ

ทว่าในขณะเดียวกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหรียญของบางเหรียญมีมูลค่าสูงขึ้น ในขณะที่อุตสาหกรรมกำลังประสบปัญหาการสูญเสียเงินทุนไปกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์ อีกทั้งในปีนี้ก็ยังมีเหตุการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ทุกคนในตลาดได้มีงานทำกัน

ต่อไปนี้คือการทบทวน 5 อันดับแรกของเหตุการณ์ที่น่าจดจำในตลาด Crypto ปี 2022

สงครามรัสเซีย-ยูเครน

ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดการเงินทั่วโลก ตลาดหลายแห่งได้พังทลายลงในเดือนกุมภาพันธ์เมื่อประธานาธิบดี Vladimir Putin สั่งให้กองทัพรัสเซียบุกยูเครน แต่สงครามดังกล่าวกลับกลายเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ Crypto กลายเป็นศูนย์กลางด้านการเงิน

บัญชี Twitter อย่างเป็นทางการของรัฐบาลยูเครนโพสต์ทวีตร้องขอการบริจาค Bitcoin และ Ethereum โดยมีการระบุที่อยู่ของกระเป๋าเงิน 2 ใบ หลังการสั่งบุกรุกเพียงไม่กี่วัน จากนั้นเงินบริจาคก็หลั่งไหลเข้ามาในกระเป๋าเงินดังกล่าวอย่างรวดเร็ว จนรัฐบาลยูเครนสามารถระดม BTC, ETH, DOT และสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ได้มากกว่า 30 ล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 3 วัน

บทบาทของ Crypto ในสงครามแสดงให้เห็นถึงพลังของเงินไร้พรมแดนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คำร้องขอการบริจาคเงินดิจิทัลของยูเครนถือเป็นครั้งแรกที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ‘เงินในโลกอินเทอร์เน็ต’ เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ที่ต้องการเงินในช่วงเวลาวิกฤต ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าประเทศอื่น ๆ อาจนำเงินดิจิทัลไปใช้ในอนาคต

การล่มสลายของ Terra

ถ้าหากพิจารณาจากมูลค่าตลาด Terra ก็เป็นหนึ่งในเหรียญ Crypto อันดับต้น ๆ ของโลก โดยระบบนิเวศของ Terra มีมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านดอลลาร์ แต่กลไก dual token ของเครือข่ายก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถทำได้จริง

การเทขายเหรียญขนาดใหญ่หลายต่อหลายครั้งได้เป็นเหตุการณ์ที่ท้าทายการตรึงค่าเงินของเหรียญ UST โดยในวันที่ 7 พฤษภาคม เหรียญ UST ได้ฟื้นตัวในช่วงสั้น ๆ แล้วก็หลุด peg อีกครั้งในอีก 2 วันต่อมา จนทำให้ผู้ถือรีบแลกเหรียญ UST ของตนกับเหรียญ LUNA และส่งผลให้อุปทานของเหรียญ LUNA เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงจนเหรียญอ่อนค่าลง จนกระทั่งเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม เหรียญ UST ก็ได้หลุด peg จนราคาเหลือเพียง 0.36 ดอลลาร์ ในขณะที่ราคาเหรียญ LUNA ร่วงดิ่งลงจนแทบไม่มีมูลค่าเลย

ความเสียหายจากการล่มสลายของ Terra ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น เหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้เกิดวิกฤตสภาพคล่องเฉียบพลันในตลาด Crypto จนกระทบบริษัทใหญ่อย่าง Celsius, Three Arrows Capital, Genesis Trading และ Alameda Research จนทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติทั่วโลกต่างหันมาทำการตรวจสอบความเสี่ยงของ Stablecoins และเหรียญ Crypto อย่างจริงจัง

เมื่อมองย้อนกลับไป เหตุการณ์ของ Terra ถือเป็นการล้มครั้งใหญ่ที่สุดของ DeFi และผลที่ตามมาจากการล้มครั้งนั้นยังคงไม่หายไปโดยสมบูรณ์จนถึงทุกวันนี้

การพังทลายของ Celsius

การที่ Terra ล่มสลายในเดือนพฤษภาคม ได้ทำลายล้างมูลค่าตลาดกว่าหลายพันล้านดอลลาร์ จนดึงดูดความสนใจของอัยการทั่วโลกให้หันมาจับตาดูตลาด Crypto

ทว่าในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนหลังจากนั้น สถานการณ์ของตลาดก็เลวร้ายลงมากยิ่งขึ้นในช่วงกลางเดือนมิถุนายน เนื่องจากในวันที่ 12 มิถุนายน ผู้ให้กู้ Crypto รายใหญ่อย่าง Celsius ได้แจ้งให้ลูกค้าทราบว่าจะ “หยุดพักการถอนเงินชั่วคราวโดยไม่มีกำหนด โปรดทราบว่า Celsius ได้ลงทุนใน Terra และเมื่อโครงการล้มเหลว มันก็รวมปัญหาที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายโดยไม่ได้รับอนุญาตของ CEO Alex Mashinsky” ตามที่มีการเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าวในภายหลัง

การล้มครั้งใหญ่ในตลาดที่ตามมาภายในเวลาไม่กี่วันหลังจากการประกาศของ Celsius คือจุดจบของ Three Arrows Capital (3AC) โดยในขณะที่ข่าวลือเรื่องการล้มละลายของ 3AC ก็เริ่มแพร่สะพัด ผู้ร่วมก่อตั้งอย่าง Su Zhu และ Kyle Davies กลับหายเงียบไป และแม้เวลาจะผ่านมาหลายเดือนแล้ว คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่าในขณะนี้พวกเขากำลังหลบหนีโดยมีหนี้จากการผิดนัดเงินกู้ประมาณ 3,500 ล้านดอลลาร์ตามติดตัว

การล้มของทั้งสองบริษัทยักษ์ยังส่งผลกระทบต่อบริษัทอื่นเช่น Babel Finance, Voyager Digital และ BlockFi เช่นกัน ทั้งนี้วิกฤตสภาพคล่องในเดือนมิถุนายนก็เป็นเสมือนเครื่องเตือนใจทุกคนในตลาดว่าความผิดปกติของหน่วยงานเดียวอาจส่งผลกระทบต่อผู้อื่นในอุตสาหกรรม Crypto ได้อย่างไร

การอัปเกรด ‘The Merge’ ของ Ethereum

แม้ว่าอุตสาหกรรม Crypto จะเต็มไปด้วยข่าวร้ายในปี 2022 แต่ Ethereum ก็ได้เข้ามาบรรเทาความเจ็บปวดของทุกคนลง เมื่อการอัปเกรด “The Merge” ที่รอคอยมานานของ Ethereum เริ่มดูเหมือนจะเสร็จสิ้นลงในช่วงเดือนสิงหาคม และในที่สุด การอัปเกรดเครือข่ายดังกล่าวเป็นกลไก Proof-of-Stake ก็ได้กลายเป็น “การอัปเกรดที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของบล็อกเชน” ในเดือนกันยายน

ความตื่นเต้นสำหรับการอัปเกรด The Merge ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ตลาดหลุดพ้นจากความสิ้นหวังด้านวิกฤตสภาพคล่องในเดือนมิถุนายน โดยมูลค่าเหรียญ ETH ทะยานขึ้นกว่า 100% จากจุดต่ำสุดของเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นสิ่งที่เพิ่มความหวังที่ว่าประโยชน์ของการอัปเกรด The Merge จะช่วยให้เหรียญ Crypto พลิกกลับเป็นขาขึ้นได้

แม้การอัปเกรด The Merge ก็เสร็จสิ้นลงโดยไม่มีปัญหาใด ๆ แต่กิจกรรม “ขายข่าว” ในระหว่างการอัปเกรดก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถูกวิพากษ​์วิจารณ์พอสมควร

เมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องบินที่เปลี่ยนเครื่องยนต์กลางเที่ยวบิน การอัปเกรด The Merge ได้รับการยกย่องว่าเป็นการอัปเกรดทางเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดของอุตสาหกรรม Crypto และนักพัฒนา Ethereum ก็ได้รับการยกย่องอย่างมากจากความสำเร็จในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้ว่าผลกระทบที่แท้จริงของการอัปเกรดจะปรากฏชัดเจนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

วิกฤต FTX

ในขณะที่ช่วงสิ้นปีใกล้เข้ามาทุกที ผู้คนในตลาดต่างเริ่มตั้งความหวังว่าผลกระทบจากหายนะในโลกคริปโตจะทุเลาลง และทุกสิ่งจะกลับมาเป็นปกติ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์สุดเลวร้ายที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าทุกหายนะที่ผ่านมาก็ได้เกิดขึ้น

เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว FTX คือเว็บเทรดที่อยู่ในอันดับต้น ๆ ของโลก อย่างไรก็ตาม เมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนก็ได้เริ่มมีข่าวลือเรื่องสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท Alameda Research เริ่มปรากฏให้เห็น และสิ่งนั้นก็กลายเป็นชนวนให้ธนาคารเข้ามาเกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์ม โดยเปิดเผยว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของกระดานเทรดหายไปแล้ว

เรื่องมีอยู่ว่า FTX ‘ให้ยืม’ เงินฝากเหล่านั้นแก่ Alameda ซึ่งสูญเสียเงินหลายพันล้านจากการจัดการที่มีประสิทธิภาพต่ำและมีความเสี่ยงสูง จนในที่สุด FTX ก็ยื่นฟ้องล้มละลาย และ Sam Bankman-Fried ก็ลาออกจากตำแหน่ง CEO โดยเขาถูกจับกุมเมื่อวันจันทร์ที่แล้วในบาฮามาส และสหรัฐฯ มีแผนส่งผู้ร้ายข้ามแดนในอีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้

บทสรุป

นอกจากสภาวะตลาดหมีที่กัดกินตลาด Crypto อย่างหนักหน่วง บางเหตุการณ์ในปี 2022 ก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำลายล้างตลาดอย่างมากเช่นกัน จนบางคนอาจมองว่าปี 2022 เป็นหนึ่งในปีแห่งหายนะของ Crypto อย่างไรก็ตาม ปีนี้ก็ได้ทำให้เราเห็นความก้าวหน้าเล็กน้อยในอุตสาหกรรม ดังนั้น แม้ว่าปี 2022 จะเป็นหนึ่งในปีที่หินที่สุดของ Crypto แต่อุตสาหกรรมก็สามารถอยู่รอดได้

ในช่วงตลาดหมีปี 2018 มีการถกเถียงกันว่าระบบนิเวศที่เพิ่งตั้งตัวได้จะผ่านพ้นวิกฤตไปได้หรือไม่ แต่ปี 2022 ก็พิสูจน์แล้วว่า Crypto จะยังคงอยู่ต่อไป และจะไม่ใช่แค่การดำรงอยู่เพียงอย่างเดียว หลังจากเหตุการณ์ในปีนี้ รากฐานของอุตสาหกรรมจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าที่เคยอย่างแน่นอน

ที่มา: technext