<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 คุณสมบัติที่บ่งชี้ว่าทำไม Bitcoin ถึงเป็นตัวอย่างของเงินที่ดี “Sound Money”

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

คำว่า Bitcoin อาจเป็นคำที่เราได้ยินโดยเป็นเรื่องปกติแล้วในตอนนี้ ซึ่งเรามักจะได้ยินว่าใคร ๆ ก็หันมาลงทุน Bitcoin ใคร ๆ ก็ชอบ Bitcoin แต่ทำไมต้องเป็น Bitcoin ละ?

เชื่อว่าทุกคนรู้จัก Bitcoin กันอยู่แล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าใจว่าทำไม Bitcoin จึงได้รับความนิยมจากนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งหนึ่งสาเหตุหลักที่สกุลเงินดิจิทัลนี้เป็นที่ชื่นชอบก็คือการที่มันเป็นตัวอย่างของ “เงินที่ดี” นั่นเอง

สาเหตุดังกล่าวได้ทำให้ Bitcoin ครองตำแหน่งคริปโทเคอร์เรนซีที่มีมูลค่าตลาดรวมสูงที่สุดตลอด 14 ปี (ข้อมูล ณ วันที่ 9 มกราคม 2023) แล้วอะไรคือคุณสมบัติของเงินที่ดีอย่างที่ Bitcoin มีล่ะ?

การกระจายอำนาจ

Bitcoin ทำงานอยู่บนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่กระจายการเก็บข้อมูลเก็บไปยังโหนดจำนวนมากภายในเครือข่าย ข้อมูลไม่ได้ถูกเก็บและควบคุมโดยตัวกลางตัวเดียวเหมือนกับระบบเงินเฟียต (Fiat currency) นั่นจึงทำให้ Bitcoin มีการกระจายอำนาจที่สูงนั่นเอง

หากเปรียบเทียบกับเงินเฟียตที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้ หลาย ๆ ประเทศจะมีธนาคารกลางเป็นผู้กุมอำนาจเด็ดขาดในการควบคุมค่าเงินได้ เช่น การออกนโยบายเศรษฐกิจต่าง ๆ หรือแม้แต่การพิมพ์เงินเพิ่มที่อาจนำมาซึ่งเงินเฟ้อหรือการคอร์รัปชันได้

อุปทานจำกัด

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มนุษย์ไม่ได้ใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน (Medium of exchange) แต่มนุษย์ใช้สิ่งที่มีจำนวนจำกัดและหาได้ยากเป็นสื่อกลางแทน เช่น เปลือกหอย และพัฒนาไปเป็นเหรียญ ทองคำ และพันธบัตรทองคำตามยุคสมัย

หากไม่นับเรื่องของความคงทนหรือความสะดวกในการพกพา สิ่งเหล่านี้มีคุณสมบัติที่เหมือนกันคืออุปทาน (Supply) ที่มีจำกัด ซึ่ง Bitcoin เองก็ถูกออกแบบมาให้มีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น ไม่สามารถมีมากไปกว่านี้ได้

แต่เงินเฟียตในปัจจุบัน ไม่ได้มีทองคำค้ำประกันเหมือนพันธบัตรทองคำสมัยก่อนแล้ว นั่นหมายความว่าธนาคารกลางสามารถพิมพ์เงินออกมาเท่าไหร่ก็ได้ อย่างช่วง COVID-19 ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ใช้มาตรการ Unlimited QE พิมพ์เงินดอลลาร์ออกมากว่าล้านล้านดอลลาร์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ผลข้างเคียงที่ตามมาก็คือเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์

พกพาสะดวก

Bitcoin เป็นเงินที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล สามารถใช้งานผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถจัดเก็บและเข้าถึงได้จากทุกที่ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต เพียงผู้ใช้จำรหัสผ่านหรือ Private Key ไว้ก็สามารถเข้าถึง Bitcoin ของตัวเองได้จากทุกที่ที่มีอินเทอร์เน็ตแล้ว ไม่จำเป็นต้องลำบากพกให้หนักกระเป๋าเหมือนเงินสดหรือทองคำเลย

การแบ่งหน่วยย่อย

อีกจุดเด่นหนึ่งที่ทำให้บิตคอยน์และคริปโทเคอร์เรนซีสามารถเข้าถึงนักลงทุนรายย่อยได้กว้างก็คือความสามารถในการแบ่งหน่วยทศนิยมในการซื้อขายนั่นเอง หมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ Bitcoin เต็ม 1 เหรียญในการทำธุรกรรมเสมอ เราสามารถใช้เป็นหน่วยทศนิยมได้สูงถึง 7 หลัก หรือ 0.00000001 bitcoin

คุณสมบันี้ทำให้เราสามารถใช้ Bitcoin เพื่อทำธุรกรรมขนาดเล็กได้จึงมีความยืดหยุ่นในการใช้งานสูง คล้ายกับเงินในปัจจุบัน อย่างเงินบาทที่มีหน่วยย่อยเป็นสตางค์ หรือเงินดอลลาร์ที่มีหน่วยย่อยเป็นเซนต์ เป็นต้น

ความปลอดภัย

แม้ Bitcoin จะเป็นระบบแบบกระจายอำนาจที่ทุกคนสามารถเห็นประวัติการทำธุรกรรมของทุกกระเป๋าได้ แต่ผู้ใช้ก็สามารถได้รับความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยได้พร้อม ๆ กัน เนื่องจาก Bitcoin ใช้การเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัยในการทำธุรกรรมและป้องกันการปลอมแปลง โดยมี Private Key เป็นเหมือนกุญแจที่ใช้เพื่อเข้าถึงสินทรัพย์ในกระเป๋า และใช้เซ็นรับรองในขั้นตอนการทำธุรกรรม

Private Key จะมีหน้าตาเหมือนรหัสผ่านยาว ๆ ที่มีทั้งตัวเลขและตัวอักษรภาษาอังกฤษปนกัน ทำให้การสุ่มเจอหรือเลียนแบบ Private Key ชุดเดียวกันแทบเป็นไปไม่ได้เลย นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถสร้าง Private Key และกระเป๋าขึ้นมาหลายชุดเพื่อเป็นกระเป๋าสำรอง หรือเพื่อกระจายความเสี่ยงและรักษาความเป็นส่วนตัวได้อีกด้วย

สรุป

คุณสมบัติที่ทำให้ Bitcoin เป็นตัวอย่างของเงินที่ดี ได้แก่ การกระจายอำนาจ การมีอุปทานจำกัด พกพาสะดวก การแบ่งหน่วยย่อย และความปลอดภัย คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้ Bitcoin ได้รับความนิยมสูงจนสามารถครองตำแหน่งสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในปัจจุบันนั่นเอง

ที่มา : Bitkub