<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

6 บุคคลดังชื่อก้องโลกที่พยายามตั้งตัวเป็นศัตรูกับ Bitcoin

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ขณะนี้เศรษฐกิจ Crypto มีมูลค่าตลาดสะสมประมาณล้านล้านดอลลาร์ และนั่นเป็นเงินจำนวนมากพอที่อาจทำให้บางคนแย้งว่า มูลค่าตลาดของ Crypto เป็นเพียงมูลค่าชั่วคราว และอุตสาหกรรมทั้งหมดก็เป็นเรื่องตลก อย่างไรก็ตาม จำนวนหนึ่งในกลุ่มคนที่ออกมาโต้แย้งนั้นเป็นถึงผู้นำรัฐหรือผู้มีอิทธิพลในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงอาจเป็นเรื่องสำคัญที่เราจะต้องรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงมองว่า Crypto ไร้สาระ โดยต่อไปนี้คือ 6 คนดังที่ไม่ค่อยเปิดใจให้ Crypto สักเท่าไร

1. Xi Jinping

สี จิ้นผิงเป็นบุคคลผู้ทรงอิทธิพลอันดับสองของโลก โดยเขาเป็นรองเพียงประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในด้านอิทธิพลทางการเมือง และ Xi ก็ได้ใช้อำนาจทางการเมืองนี้เพื่อทำสงครามกับเทคโนโลยี บล็อกเชน ดังนั้นเขาจึงเป็นคู่ต่อสู้ของ Bitcoin ที่มีอิทธิพลมากที่สุดและเป็นคนขี้ระแวง Crypto ที่มีชื่อเสียงที่สุดคนแรกในหกคนที่เราจะพูดถึง

Xi นำเงินของเขาไปใช้ในนโยบายการเงินในปี 2013 คือ การที่ประเทศจีนสั่งห้ามไม่ให้ทำธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Crypto โดยธนาคารประชาชนแห่งประเทศจีน (PBoC) และหน่วยงานเฝ้าระวังทางการเงินอื่น ๆ ได้ออกประกาศแจ้งให้ธนาคารทุกแห่งหยุดดำเนินการธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin เนื่องจาก Bitcoin ถูกจัดประเภทเป็นสินทรัพย์เสมือน ดังนั้นจึงไม่สามารถทำหน้าที่เป็นสกุลเงินได้

การประกาศห้ามดังกล่าวยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่า Bitcoin ไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐใด ๆ และเป็นช่องทางสำหรับการฟอกเงิน ทั้งนี้หลังจากการประกาศห้ามของจีน ได้ทำให้ราคาของ Bitcoin ลดลงไปกว่า 30%

ในปี 2017 จีนได้สั่งห้าม ICO เพื่อรักษาเสถียรภาพของเงินหยวนที่อ่อนค่าลงในขณะนั้น และสกัดกั้นไม่ให้เงินออกจากประเทศจีนอย่างผิดกฎหมาย เนื่องจาก PBoC ถือว่า ICO เป็นกลไกการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย และพยายามหยุดไม่ให้แพลตฟอร์ม ICO ออกโทเค็น อีกทั้งยังขอให้ ICO คืนเงินที่ได้รับจากนักลงทุน และแบนกระดานเทรด Crypto อีกด้วย

ในปี 2019 PBoC ระบุว่าการขุด Bitcoin เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และมีเสียงเรียกร้องให้มีการสั่งห้าม อย่างไรก็ตาม คำสั่งห้ามก็ถูกยกเลิกในที่สุด

แม้ว่ามาตรการเหล่านี้อาจไม่ได้มาจากตัวประธานาธิบดี Xi โดยตรง แต่ก็คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าหากไม่ได้รับอนุมัติจากประธานาธิบดี

2. Bill Gates

ทุกคนรู้จัก Bill Gates และเกือบทุกคนรู้ว่าเขามีความกังขาต่อ Crypto แม้ว่า Gates อาจไม่ใช่คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอีกต่อไป แต่เขายังคงมีอิทธิพลและมีชื่อเสียงอย่างมาก เนื่องจากเขาเป็นคณะกรรมการของบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่ง และความพยายามเพื่อการกุศลของเขาหมายความว่าเขาต้องการใช้อิทธิพลทางการเมือง

ในขณะที่ Bill Gates ไม่ได้ใช้อิทธิพลของเขาในการกีดกัน Crypto อย่างชัดเจน แต่เขามักจะออกมากล่าวถึงสิ่งที่ค่อนข้างน่าสนใจเกี่ยวกับอุตสาหกรรม Crypto อย่างครั้งหนึ่งในเซสชัน Ask Me Anything บน Reddit Bill Gates เคยกล่าวว่าเขาไม่ได้เป็นเจ้าของสกุลเงินดิจิทัลใด ๆ โดยกล่าวว่าเขา “ไม่ชอบลงทุนในอะไรก็ตามที่ไม่มีค่า”

ในการให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg Gates ก็มักแสดงความกังวลเกี่ยวกับการที่ผู้คนถูกดึงดูดเข้าสู่ความคลั่งไคล้ใน Crypto เขาบอกว่ามีเพียงคนรวยอย่าง Elon Musk เท่านั้นที่ควรเข้าสู่ Crypto และคนที่ไม่ได้รวยก็ควรระวัง นอกจากนี้ Gates ยังกล่าวด้วยว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่จะมาปฏิวัติโลกมากกว่า Web 3.0

3. Warren Buffett

Warren Buffet เป็นหนึ่งในผู้ชายที่ร่ำรวยที่สุดในโลกและเป็นกูรูด้านการลงทุน ปัจจุบันเขาเป็น CEO ของ Berkshire Hathaway และมีทรัพย์สินสุทธิประมาณ 1.1 แสนล้านดอลลาร์ โดยเงินส่วนใหญ่ของ Buffet นั้นได้มาจากการลงทุน

นอกจากความร่ำรวยแล้ว Buffet ยังเป็นที่นิยมอีกด้วย เพราะเขามักออกมาพูดเรื่องการเงินและการลงทุนเป็นประจำ Buffet เต็มใจแบ่งปันความรู้เสมอและไม่เคยปัดคำถามยาก ๆ

Buffet ไม่ใช่แฟนคลับของ Bitcoin และเขาก็ไม่เคยอายที่จะพูด โดยเขาให้เหตุผลว่า Bitcoin ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ดังนั้น Bitcoin ทั้งหมดในโลกจึงไม่มีค่า 

เมื่อถูกถามว่าทำไม Bitcoin ถึงเติบโตขึ้น เขากล่าวว่ามันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ เขาแย้งว่า Bitcoin มีเสน่ห์ที่ดึงดูดนักลงทุนรายใหม่ แต่เขาไม่สนใจเสน่ห์นั้น

ในปี 2018 Buffet เคยกล่าวกับสื่อข่าว CNBC ว่า Crypto จะมีจุดจบอย่างเลวร้าย และเขายังบอกด้วยว่าเขาจะไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับสิ่งเหล่านี้ และบริษัทของเขาก็จะไม่ลงทุนในสิ่งนี้ด้วย

4. Jamie Dimon

แม้ว่า Jamie Dimon อาจไม่โด่งดังอะไรมากมาย แต่เขาก็ค่อนข้างมีชื่อเสียงในแวดวงการเงิน เนื่องจาก Dimon เป็น CEO ของ JP Morgan หนึ่งในสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดังนั้นในฐานะประธานของ JP Morgan เขาจึงมีอิทธิพลอย่างมากต่อระบบการเงินโลก 

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ที่งาน World Economic Forum ปี 2023 ที่เมืองดาวอส Dimon กล่าวว่า Crypto เป็น “การหลอกลวงเกินจริง” และเรียกมันว่า “หินแชร์ลูกโซ่” แต่นั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ Dimon กล่าวแบบนั้น โดยในปี 2017 Dimon อธิบายว่า Bitcoin เป็น “การหลอกลวง” และหลังจากการล่มสลายของ FTX เขายืนยันในคำพูดดังกล่าวมากขึ้นเป็นสองเท่า

แม้จะไม่เชื่อเรื่อง Bitcoin และ Crypto แต่ Dimon กลับเชื่อว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนมีประโยชน์ เขากล่าวว่า JP Morgan เคยใช้มาก่อน และในฐานะเทคโนโลยี มันสามารถกลายเป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานได้ดีในอนาคต

5. Jim Cramer

สถานการณ์ของ Jim Cramer นั้นไม่เหมือนใคร เขาไม่มีอิทธิพลทางสถาบันและเป็นเพียงผู้มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

Jim Cramer เป็นเจ้าของรายการ Mad Money ของทาง CNBC รวมทั้งเป็นผู้ก่อตั้ง TheStreet.com เขาค่อนข้างเป็นที่นิยม และเป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่ชอบ Crypto ที่มีชื่อเสียงที่สุด

สิ่งที่น่าประหลาดเกี่ยวกับ Cramer คือเมื่อใดก็ตามที่เขาออกมาพูดอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ Crypto ตลาดก็จะเคลื่อนไหวไปในทางตรงกันข้ามแทบจะในทันที

และเหตุการณ์นี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับ Crypto เท่านั้น เพราะเมื่อ Cramer พูดเกี่ยวกับตลาดหุ้นนิวยอร์ก สิ่งเลวร้ายก็มักจะเกิดขึ้น โดยเขาเคยทำแบบนั้นเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2020 แล้ว COVID-19 ก็โจมตีตลาดในอีกไม่กี่วันต่อมา

แม้ว่า Cramer จะเป็นเจ้าของเหรียญ Crypto และใช้ Bitcoin เพื่อชำระหนี้ของเขา แต่เมื่อช่วงต้นปี 2022 เขากลับโพสต์ทวีตว่าผู้คนควรถอยห่างจาก Crypto และออกห่างจากหุ้นจีนเช่นกัน

6. Elizabeth Warren

แน่นอนว่ารัฐสภาแห่งสหรัฐอเมริกานั้นมีอิทธิพลอย่างมากต่ออนาคตของ Crypto เนื่องจากสภาคองเกรสสามารถออกกฎหมายแบน Crypto หรือกำหนดว่าเป็นสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้อย่างปลอดภัยได้

ในขณะเดียวกัน หนึ่งในเสียงต่อต้าน Crypto ที่แข็งกร้าวที่สุดในสภาคองเกรสคือ Elizabeth Warren โดยหลังจากการล่มสลายของ FTX Warren กล่าวว่า Crypto จะจบลงด้วยการทำให้คนส่วนใหญ่ได้รับความสูญเสีย

แม้ว่าคำพูดของ Warren อาจทำให้ผู้ที่ชื่นชอบ Crypto รู้สึกกังวลในเวลานั้น แต่ร่างกฎหมายที่เธอเสนอกลับมีความเกี่ยวข้องมากยิ่งกว่า โดย “กฎหมายต่อต้านการฟอกเงินสินทรัพย์ดิจิทัล” ที่เธอประกาศใช้ในเดือนธันวาคม 2022 คือสิ่งที่กำหนดข้อบังคับสำหรับผู้เข้าร่วมทั้งหมดในเครือข่ายบล็อกเชน ซึ่งจะรวมถึงนักพัฒนา นักขุด และแม้แต่ผู้สร้างกระเป๋าเงิน อย่างไรก็ตาม ข้อบังคับดังกล่าวนั้นมีมากเกินไป

ที่มา: dailycoin