Binance กระดานเทรดคริปโตยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของโลก เพิ่งส่งสัญญาณยืนยันที่จะสนับสนุนเหรียญ Stablecoin Binance USD ต่อไป แม้ว่าผู้ออกเหรียญอย่าง Paxos Trust Company จะถูกสั่งให้ยุติการสร้างเหรียญจากหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ
ก่อนหน้านี้ ตามที่ SiamBlockchain ได้รายงานข่าวไปในเรื่องกรมบริการทางการเงินแห่งนิวยอร์ก (NYDFS) ได้สั่งให้บริษัท Paxos ยุติการออก BUSD เหรียญ Stablecoin ที่มีการตรึงด้วยสกุลเงินดอลลาร์ นอกจากนั้น Paxos ยังได้รับการแจ้งเตือนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (SEC) ที่กล่าวหาว่า BUSD เป็นหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนอีกด้วย
ด้าน Binance CEO Changpeng “CZ” Zhao ได้กล่าวช่วยเพิ่มมั่นใจกับผู้ใช้ว่า เงินของทุกคนจะยังคงปลอดภัย แม้ว่าจะมีการดำเนินการบังคับใช้กฏหมายตามดังกล่าวก็ตาม จากโพสต์ Twitter เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ CZ กล่าวว่า Paxos นั้นอยู่ภายใต้การควบคุมโดย NYDFS และ BUSD นั้นมี “Paxos เป็นเจ้าของและมีหน้าที่บริหารแต่เพียงผู้เดียว”
Cz กล่าวว่า Paxos จะยังคงเปิดให้บริการซื้อขาย BUSD และถอนเหรียญเช่นเดิม นอกจากนี้ยังรับประกันว่าเงินทุนสำรองจะได้รับการตรวจสอบโดยหลายฝ่าย สำหรับผลกระทบจากการดำเนินการบังคับใช้กฏหมาย Binance CEO กล่าวว่า มูลค่าตามราคาตลาดของ BUSD จะค่อย ๆ ลดลงเมื่อเวลาผ่านไป และทางเว็บเทรดเองจะสำรวจ Stablecoins ทางเลือกอื่น ๆ ที่ไม่มีการตรึงอยู่กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
Cz ยังกล่าวด้วยว่า Binance จะยังคงสนับสนุนเหรียญ Stablecoin BUSD ต่อไปในเว็บเทรด แต่ในขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าผู้ใช้งานอาจจะต้องเปลี่ยนไปใช้ Stablecoin อื่น ๆ เนื่องจากเกิดประเด็นในการดำเนินการบังคับใช้กฏหมายที่เข้มงวด
สิ่งนี้จะส่งผลให้ Binance อาจพิจารณา “การปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์” ด้วยการเลิกใช้ BUSD เป็นคู่ซื้อขายหลักสำหรับโทเค็นคริปโตจำนวนมากที่มีอยู่ในกระดานเทรด
Cz ยังเตือนด้วยว่าการดำเนินการของ SEC และ NYDFS อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการพัฒนาระบบนิเวศของ cryptocurrency ที่กำลังดำเนินอยู่ :
““ถ้าหาก” BUSD ถูกตัดสินว่าเป็นหลักทรัพย์โดยศาล สิ่งนี้จะส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการพัฒนาอุตสาหกรรม crypto ในเขตอำนาจศาลที่มีการพิจารณาคดีเช่นนี้”
Zhao ยังตั้งข้อสังเกตว่า ด้วยความไม่แน่นอนของกฎระเบียจึงทำให้บริษัทจำเป็นต้องมีการตรวจสอบโปรเจกต์อื่นๆ ในเขตอำนาจศาลที่เสี่ยงต่อการถูกบังคับใช้กฏหมาย “เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้งานของเราได้รับการปกป้องจากอันตรายที่ไม่สมควร”
ที่มา : cointelegraph