นักพัฒนา Ethereum กล่าวในบล็อกโพสต์หลังการประชุม AllCoreDevs Execution Layer ครั้งที่ 157 ว่า “การอัปเกรด mainnet เพื่อให้สามารถถอน ETH ที่ stake นั้น จะเกิดขึ้นในวันที่ 12 เมษายน 2023 โดยการประกาศดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่นักพัฒนาได้เสร็จสิ้นการปรับใช้ Shapella fork บน Goerli testnet และ Sepolia testnet
การอัปเกรดครั้งล่าสุด The Merge ซึ่งเป็นการรวม Beacon Chain เข้ากับ Ethereum Virtual Machine (EVM) ได้ทำให้เครือข่าย Ethereum เปลี่ยนกลไกจาก proof-of-work เป็น proof-of-stake ซึ่งการอัปเกรด Shapella ที่จะเกิดขึ้น จะเป็นการรวมการอัปเกรด Shanghai Ethereum Virtual Machine ที่เรียกว่า Shanghai และ consensus layer ที่เรียกว่า Capella นอกจากนี้จะรวมถึงการเปลี่ยนแปลง Engine API ที่เชื่อมโยงทั้งสอง layer ด้วย
การอัปเกรดครั้งนี้ เป็นขั้นตอนสุดท้ายที่จะช่วยให้ validator ของเครือข่าย Ethereum สามารถถอน ETH ที่ถูกล็อกไว้ก่อนหน้านี้ใน smart contract บน Beacon Chain ของ Ethereum โดยนอกเหนือจากการถอนเหรียญที่ stake ไว้แล้ว การอัปเกรดจะรวม EIP-3651, EIP-3855, EIP-3860, EIP-4895 และ EIP-6049 อีกด้วย ซึ่งทั้งหมดคือมาตรฐานที่กำหนดคุณสมบัติที่เป็นไปได้หรือกระบวนการใหม่สำหรับ Ethereum
ทั้งนี้กลไก consensus แบบใหม่ จะใช้ validator node แทน miner เพื่อยืนยันการบล็อกธุรกรรมและเผยแพร่ไปยังเครือข่าย Ethereum โดยในขั้นต้น validator node ที่ต้องการรักษาความปลอดภัยเครือข่าย จะสามารถทำการ stake 32 ETH ในสัญญา smart contract บน Beacon Chain เพื่อรับรางวัล ETH Reward จากการช่วยยืนยันธุรกรรมบนเครือข่าย
แม้ว่าการอัปเกรด Shapella จะแสดงถึงความสำเร็จครั้งสำคัญสำหรับเครือข่าย Ethereum แต่ก็ยังประสบกับปัญหาด้านปริมาณการธุรกรรมต่อวินาทีที่มีจำนวนน้อยมาก โดยข้อมูลล่าสุดจาก Blockchair ระบุว่าความสามารถในการทำธุรกรรมของ Ethereum อยู่ที่ประมาณ 10 ธุรกรรมต่อวินาทีเท่านั้น
หลังจากการอัปเกรด Shapella เสร็จสิ้นลง แพลตฟอร์มเว็บเทรดต่าง ๆ จะเริ่มอนุญาตให้ผู้ใช้ถอนเหรียญ ETH ที่ stake ไว้บนแพลตฟอร์มของตนได้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าผู้ใช้ของหลาย ๆ แพลตฟอร์มอาจแห่ถอนเหรียญ ETH จนเกิดเป็นแรงกดดันการขายตามมา ณ ช่วงเวลาดังกล่าว
ที่มา: beincrypto