<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

“วลาดีมีร์ ปูติน” จับมือ “สี จิ้นผิง” เพื่อเร่งผลักดันการพัฒนาอาวุธปัญญาประดิษฐ์

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

แม้ว่า Elon Musk และนักวิจัยอีกหลายหมื่นคนจะลงนามในจดหมายเปิดผนึกเพื่อเรียกร้องให้ห้องปฏิบัติการชั้นนำของโลกหยุดการพัฒนาเทคโนโลยีอันทรงพลังนี้เป็นเวลา 6 เดือน เนื่องจาก “ความเสี่ยงอย่างร้ายแรงต่อสังคมและมนุษยชาติ” แต่ในระหว่างการประชุมที่กรุงมอสโก ประธานาธิบดีรัสเซีย วลาดิเมียร์ ปูติน และประธานาธิบดีจีน สี จิ้นผิง ก็ได้ประกาศความร่วมมือระหว่างรัสเซียและจีนในด้าน AI แล้ว

กลยุทธ์ AI ของจีนมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายหลัก 3 ประการ ได้แก่ การเฝ้าระวังภายในประเทศ ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ และสงครามในอนาคต โดยขณะนี้รัฐบาลจีนกำลังใช้ซอฟต์แวร์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่เรียกว่า “one person, one file” ซึ่งเป็น AI ที่รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลเกี่ยวกับผู้อยู่อาศัย เพื่อประเมินความจงรักภักดีและความเสี่ยงต่อรัฐบาลจีน

นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายกล้องวงจรปิดขนาดยักษ์ที่ทางการจีนเรียกว่า “sharp eyes” เพื่อติดตามทุกคนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะผู้บริหารธุรกิจชาวอเมริกันเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ที่เดินทางไปยังประเทศจีน ซึ่งจะถูกทางการจีนเฝ้าติดตามตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน

สำหรับการใช้งาน AI ทางทหารนั้น จีนได้ประกาศใช้กลยุทธ์ AI ที่เรียกว่า intelligentized and informatized warfare โดยกระทรวงกลาโหมของจีนได้จัดตั้งศูนย์วิจัยสองแห่งเพื่อปฏิบัติตามกลยุทธ์นี้ ได้แก่ ศูนย์วิจัยปัญญาประดิษฐ์และศูนย์วิจัยระบบไร้คนขับ

ความเร็วของความก้าวหน้าด้าน AI ของจีนนั้นสร้างความกังวลอย่างมากต่อ Pentagon และหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ โดยสำนักงานข่าวกรองกลาโหมสหรัฐฯ เตือนว่าจีนกำลังลงทุนอย่างหนักในด้าน AI และ ML (การเรียนรู้ของเครื่องจักร)

ในอีกด้านหนึ่ง แม้ว่ารัสเซียจะล้าหลังกว่าจีนในด้าน AI แต่มอสโกก็กำลังพยายามที่จะเป็นหนึ่งในผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยีใหม่นี้

กลยุทธ์ AI ของรัสเซียมุ่งเน้นไปที่วิทยาการหุ่นยนต์ การโต้ตอบระหว่างหุ่นยนต์กับมนุษย์ และสงครามต่อต้านโดรนเป็นหลัก โดยนักยุทธศาสตร์การทหารของรัสเซียเชื่อว่าการขยายบทบาทของยานพาหนะทางอากาศไร้คนขับ (UAV) ในสงครามสมัยใหม่ จำเป็นต้องมีการพัฒนาระบบ “UAV-killing UAV”

เป็นที่น่าสังเกตว่าในขณะที่บริษัทด้าน AI หลายแห่งในสหรัฐฯ อาจตัดสินใจหยุดการพัฒนา AI ชั่วคราว รัสเซียกับจีนไม่เพียงแต่เร่งความเร็วในการพัฒนา AI เท่านั้น แต่ทั้งสองประเทศนี้ยังผนึกกำลังกันเพื่อสร้างประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวอีกด้วย

ที่มา: foxnews