<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 เรื่องราวความสำเร็จของ 5 เศรษฐีผู้ร่ำรวยจาก Bitcoin

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

แน่นอนว่าทุกคนที่สนใจใน Crypto ต่างมองหาโอกาสในการทำกำไรจากสกุลเงินดิจิทัลที่พวกเขาชื่นชอบกันอย่างไม่หยุดยั้ง ทว่ามีเพียงไม่กี่คนบนโลกเท่านั้นที่สามารถคว้าโอกาสในตลาด Crypto และสามารถเปลี่ยนเงินที่มีอยู่เพียงน้อยนิดให้กลายเป็นเงินก้อนโต จนใครต่อใครต่างขนานนามให้ว่า “เศรษฐี”

และในวันนี้ทางสยามบล็อกเชนจะมาบอกเล่าเรื่องราวของเหล่า “เศรษฐี Bitcoin” ที่สามารถเปลี่ยนเงินลงทุนในช่วงแรก ๆ ให้กลายเป็นเงินจำนวนมหาศาลได้สำเร็จ และทุกคนจะเห็นว่าการร่ำรวยด้วย Crypto นั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องเพ้อฝันเสมอไป

“Bitcoin ช่วยให้ผมซื้อบ้านได้” — Daniel Crocker เจ้าของธุรกิจ

ในปี 2012 Daniel Crocker กำลังฝึกงานที่บริษัทไอทีแห่งหนึ่ง แต่ในทุก ๆ ช่วงพักเที่ยง เขาจะพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานเกี่ยวกับเรื่องการหารายได้พิเศษ โดยหลังจากประเด็นเกี่ยวกับ Bitcoin ปรากฏขึ้นในการสนทนาของพวกเขา Crocker จึงตัดสินใจที่จะลองดู และเริ่มลงทุนด้วยเงินเพียงเล็กน้อย

Crocker ถือเหรียญ Bitcoin เหล่านั้นมาเป็นเวลานานถึง 8 ปี ในขณะที่มูลค่าของเหรียญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในที่สุด Crocker ก็ตัดสินใจขาย Bitcoin เมื่อปีที่แล้ว และเขาก็ได้เงินมามากพอสำหรับการจ่ายค่ามัดจำบ้าน

“มันคือการพักผ่อนอย่างคุ้มค่าในไอซ์แลนด์” — James Saye ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยี

เมื่อปี 2017 James Saye เคยรู้สึกกังวลเกี่ยวกับการนำเงินของตนเองไปลงทุนใน Bitcoin แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจใช้เงินประมาณ 500 ปอนด์ (21,414 บาท) เพื่อซื้อสินทรัพย์ดิจิทัลเหรียญนี้

หลังจากนั้นไม่นานนัก มูลค่าของ Bitcoin ก็เพิ่มขึ้นมากถึง 500% จนในที่สุด James ก็ตัดสินใจขาย Bitcoin เพื่อรับกำไรกว่า 2,500 ปอนด์กลับไป และในเวลาต่อมา Saye ก็เริ่มออกเดินทางไปยังประเทศไอซ์แลนด์ด้วยกำไรที่ได้รับจากการลงทุนใน Bitcoin

แม้ว่าไอซ์แลนด์จะเป็นประเทศที่สวยงาม แต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวนั้นกลับมีราคาสูงมาก ทว่า Saye สามารถกล่าวได้ว่าเขามีวันหยุดที่ยอดเยี่ยมระหว่างท่องเที่ยวในไอซ์แลนด์

หลังจากเพลิดเพลินไปกับการท่องเที่ยวอันน่าจดจำแล้ว Saye ได้กลับมาซื้อ Bitcoin อีกครั้งหลังจากที่ราคาของเหรียญลดลงในปี 2018

“ซื้อของเท่าที่ผมต้องการ” — Kristoffer Koch นักเรียน

ในปี 2009 Kristoffer Koch นักศึกษาชาวนอร์เวย์ ได้มีโอกาสอ่านเอกสาร whitepaper เกี่ยวกับ Bitcoin ของ Satoshi Nakamoto หลังจากนั้น Koch จึงเริ่มเขียนวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเทคโนโลยี Crypto และการศึกษาก็ช่วยให้เขาเห็นถึงพลังที่ยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยีใหม่นี้

Koch ใช้เงินซื้อ Bitcoin เพียง 26.60 ดอลลาร์เท่านั้น แม้จะเป็นเพียงเงินก้อนเล็ก ๆ แต่ในเวลานั้น Bitcoin เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน ดังนั้น Koch จึงสามารถซื้อ Bitcoin ได้มากถึง 5,000 BTC ในขณะที่คู่หูของเขาสงสัยว่า Koch นำ “เงินจริง” ไปแลกกับ “เงินปลอม”

ไม่กี่ปีหลังจากนั้น ในปี 2013 Koch เห็นข่าวว่าราคาของ Bitcoin กำลังพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วมากแค่ไหน และตระหนักได้ว่าเขาใกล้จะกลายเป็นเศรษฐีแล้ว

Koch ขาย 1,000 BTC ที่ถือไว้ และได้เงินมากพอที่จะนำไปซื้ออพาร์ตเมนต์ โดยในขณะนี้มีข่าวลือว่าเขายังคงถืออีก 4,000 BTC ที่เหลืออยู่ และกำลังเป็นเศรษฐีที่มี Bitcoin รวมมูลค่ากว่าหลายร้อยล้านดอลลาร์

“ผมทำเงินได้ 1 ล้านดอลลาร์ในตอนที่ผมอายุ 18 ปี ผมไม่ต้องไปโรงเรียนหรือไปเรียนที่วิทยาลัย” — Erik Finman ผู้ประกอบการที่ออกจากโรงเรียนกลางคัน

ในปี 2011 เมื่อ Erik Finman อายุเพียง 12 ปี เขานำเงิน 1,000 ดอลลาร์ที่คุณยายให้มาไปลงทุนใน Bitcoin ที่กำลังมีราคาประมาณ 10 ดอลลาร์ต่อเหรียญ

Finman รู้จัก Bitcoin เป็นครั้งแรกหลังจากที่พี่ชายของเขาพาเขาไปดูการประท้วงที่อนุสรณ์สถานเจฟเฟอร์สันในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. โดยหลังจากที่ Finman เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อ Bitcoin เขาก็ถามพี่ชายว่า Bitcoin คืออะไร

Erik เริ่มค้นคว้าหาข้อมูลเกี่ยวกับ Bitcoin และเขาก็มองเห็นอนาคตที่สดใสของตนเอง

“ผมใช้เวลา 3 ปี ในการเทรด Bitcoin ไปพร้อม ๆ กับเรียนหนังสือ” Finman กล่าว ก่อนจะกล่าวเสริมว่าเขาไม่เคยชอบโรงเรียนมัธยม

“ผู้คนไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมพยายามทำ แต่ผมได้รับในสิ่งที่ผมต้องการ หรือสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน จากการเทรด Bitcoin”

“มีครูคนหนึ่งบอกผมว่า ลาออกเถอะ แล้วไปทำงานที่ McDonald’s เพราะผมจะไม่มีวันทำอะไรได้อีกแล้วในชีวิต” Finman เล่าเรื่องราวในอดีตของเขา

หลังจากครูคนหนึ่งกล่าวประโยคนั้นกับ Finman เขาก็ลาออกจากโรงเรียนมัธยมตอนอายุ 15 ปี และท้าพ่อแม่ของตนเองว่า “ถ้าทำเงินได้ 1 ล้านดอลลาร์ตอนอายุ 18 ปี จะไม่กลับไปโรงเรียนหรือไปเรียนที่วิทยาลัย”

ทันทีที่เขาขาย Bitcoin มูลค่า 100,000 ดอลลาร์ และเริ่มต้นธุรกิจจากห้องนอนของตนเอง Finman สามารถสร้างบริษัทด้านการศึกษาที่มีชื่อว่า Botangle ได้สำเร็จ ในขณะที่เด็กอายุเท่ากับเขากำลังอยู่ที่โรงเรียน

ติวเตอร์ของบริษัท Botangle จะสอนทักษะต่าง ๆ ให้กับนักเรียนผ่านวิดีโอแชท ตัวอย่างเช่น ชาวออสเตรเลียที่ต้องการเรียนภาษาญี่ปุ่น สามารถจ้างครูสอนพิเศษส่วนตัวในโตเกียวได้

แม้ว่านั้นจะเป็นความสำเร็จที่เหนือกว่าเด็กมัธยมคนอื่น ๆ หลายต่อหลายคน ทว่าในอีก 2 ปีต่อมา Finman กลับขายบริษัทของเขาไปในราคา 300 BTC ในขณะที่ Bitcoin กำลังมีราคา 2,700 ดอลลาร์ต่อเหรียญ

ในช่วงที่ Finman มีอายุเพียง 17 ปี เขาก็กลายเป็นเศรษฐีอย่างเป็นทางการแล้ว และแทนที่จะไปอ่านหนังสือเพื่อเตรียมสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย Finman ออกเดินทางไปทั่วโลก ตั้งแต่ดูไบ ฮ่องกง ปักกิ่ง ลอนดอน ปราก ซิดนีย์ เมลเบิร์น เวียนนา และสตอกโฮล์ม

“ผมลาออกจากงาน และไปเที่ยวรอบโลก” — Mr. Smith วิศวกรซอฟต์แวร์

หลังจากเรียนจบวิทยาลัยในปี 2008 Mr. Smith (นามสมมุติ) เริ่มทำงานในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย แล้วหลังจากเริ่มงานได้ 2 ปี Smith ก็เริ่มลงทุนใน Bitcoin ด้วยเงิน 3,000 ดอลลาร์ หรือประมาณ 1 แสนบาท โดยในขณะนั้น Bitcoin มีราคาเพียง 15 เซ็นต์ต่อเหรียญ ดังนั้นจึงหมายความว่าเขาซื้อ Bitcoin ประมาณ 20,000 BTC ในปี 2010

“ผมรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าผมต้องเล่นเกมยาว ผมต้องการดูว่ามันจะไปได้สูงแค่ไหน” Mr. Smith กล่าว

3 ปีต่อมา Smith เกือบจะลืมไปแล้วว่าเขาถือ Bitcoin ไว้มากแค่ไหน แต่เมื่อสื่อข่าวต่าง ๆ ประกาศว่าราคา Bitcoin เพิ่มขึ้นประมาณ 10% หรือมากกว่านั้นในทุก ๆ วัน Smith จึงตัดสินใจขาย 2,000 BTC เมื่อราคาถึง 350 ดอลลาร์ต่อเหรียญ และ

เมื่อราคาแตะ 800 ดอลลาร์ในอีกไม่กี่วันต่อมา เขาก็ขายอีก 2,000 BTC

ในปีนั้น Smith สามารถทำเงินได้กว่า 2.3 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 79 ล้านบาท เขาจึงตัดสินใจลาออกจากงาน และเดินทางท่องเที่ยวรอบโลก

Smith ใช้เวลาท่องโลกอย่างหรูหราด้วยเครื่องบินชั้น first class ไปยังร้านอาหารระดับ 5 ดาว เพื่อเพลิดเพลินกับอาหารที่ปรุงโดยเชฟชั้นยอดในทุก ๆ มื้อ

ในช่วง 30 วันก่อนที่เขาจะให้สัมภาษณ์กับทางสื่อข่าว Forbes เขาเล่าว่าตนเองได้ไปเยือนสิงคโปร์ นิวยอร์ก ลาสเวกัส โมนาโก มอสโก กลับไปที่นิวยอร์ก แล้วจากนั้นก็เดินทางไปยังซูริกและฮ่องกง ซึ่งรวมแล้วเงินที่เขาหมดไปกับการเดินทางน่าจะอยู่ระหว่างร้อยล้านถึงพันล้านดอลลาร์เลยทีเดียว

“เขาพูดถึง Bitcoin อยู่ตลอดเวลา” แฟนสาวของ Smith กล่าว “และถ้าเขาเริ่มพูดถึงมัน เขาจะพูดไม่หยุด”

ที่มา: cointree