<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

คดีฉ้อโกงที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ! CEO ของ Mirror Trading ถูกปรับเงินมูลค่า 3,400 ล้านดอลลาร์ 

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เราต่างรู้ดีว่าจำนวนเงินในตลาดคริปโตที่ถูกโจรกรรมนั้นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่ปัญหาการฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยผู้พิพากษาศาล Lee Yeakel ในสหรัฐอเมริกาได้สั่งให้ผู้บริหารชาวแอฟริกาใต้ให้จ่ายเงินชดเชยและค่าปรับเป็นจำนวนสูงถึง 3.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับการฉ้อโกงที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin

Cornelius Johannes Steynberg ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Mirror Trading International Proprietary มีส่วนร่วมในโครงการฉ้อโกงหลายรูปแบบ ซึ่งเขาหลอกเหยื่อคนอื่น ๆ และนำขโมย Bitcoin จากคนที่เข้าร่วมโครงการที่ดำเนินการภายใต้ การจัดการของ Mirror Trading

โครงการดังกล่าวฉ้อโกงเงินมาได้อย่างน้อย 29,421 Bitcoin ซึ่งคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์ในเดือนมีนาคม 2021 จาก จำนวนมากกว่า 23,000 คนในสหรัฐอเมริกาและจากทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม Steynberg ยักยอก Bitcoin ทั้งหมดที่รับจากผู้เข้าร่วมกลุ่มไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ตามรายงานของ US Commodity Futures Trading Commission (CFTC) แม้ว่า CFTC ของสหรัฐฯ จะเรียกเก็บค่าปรับ แต่ “ก็อาจจะไม่ได้เงินคืนทั้หมด เนื่องจากผู้กระทำผิดอาจมีเงินทุนหรือทรัพย์สินไม่เพียงพอ”

นับตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021 ตัวของ Steynberg ได้ถูกจับกุมในบราซิลตามหมายจับของ Interpol เนื่องจากเขาเป็นผู้หลบหนีจากการบังคับใช้ภายใต้กฎหมายของแอฟริกาใต้ ซึ่ง CFTC ได้สั่งห้ามการทำกิจกรรมทั้งหมดของ Steynberg อย่างถาวรในทุกตลาดที่อยู่ภายใต้กฎระเบียบ

โปรเจกต์แชร์ลูกโซ่ Modus Operandi 

Steinberg เป็นเจ้าของ บริษัท Mirror Trading International ได้ดำเนินการในฐานะกลุ่มการลงทุน Bitcoin ที่ใช้อัลกอริธึมเพื่อใช้บอทเทรด โดยมีเงื่อนไขให้นักลงทุนฝาก Bitcoin ลงในกลุ่ม และทางกลุ่มก็จะสร้างผลกำไรรายวันจากการเทรดคริปโตให้โดยอัตโนมัติ

อย่างไรก็ตาม CFTC อ้างว่า อัลกอริธึมการเทรดของบอทนั้นหลอกลวงและไม่เคยถูกใช้ในการเทรดคริปโตเลย แต่เงินของกองทุนกลับถูกใช้เพื่อเพิ่มมูลค่าเงินในกระเป๋าส่วนตัวของ Steynberg และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการ

หน่วยงานของสหรัฐอเมริกากล่าวหาเพิ่มเติมว่า Steynberg บิดเบือนความจริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของกลุ่มบอทเทรดและปกปิดที่มารายได้ของกองทุน ซึ่งเงินทุนที่นักลงทุนได้รับไม่ได้มาจากกำไรจากการเทรด แต่มาจาก Bitcoin ที่นักลงทุนรายหน้าใหม่ฝากเข้ามาเป็นทอด ๆ 

CFTC ยังเปิดเผยอีกด้วยว่า Steynberg และผู้ร่วมงานของเขาได้ใช้ Bitcoin ส่วนหนึ่ง เพื่อซื้อทรัพย์สิน เช่น อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์หรู และนาฬิกาแบรนด์เนม

คำตัดสิน

สำหรับคำตัดสิน ศาลสั่งปรับเงินเป็นจำนวน 3.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจำนวนค่าปรับที่ Steynberg ถูกเรียกเก็บนั้นเป็นค่าปรับทางแพ่งสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในคดีของ CFTC  โดยจำนวนค่าปรับ นั้นต้องการแสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของการฉ้อโกงและบทบาทที่สำคัญของ Bitcoin ในโปรเจกต์

คำตัดสินนี้อาจเป็นคำเตือนให้กับผู้ที่คิดจะทำการฉ้อโกงในตลาดคริปโต หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ พวกเขาไม่สามารถหลบกฎหมายได้นั่นเอง 

ซึ่ง CFTC ต้องพยายามทำให้แน่ใจว่า นักลงทุนจะได้รับการปกป้องจากแผนการฉ้อโกง และบริษัทต่างๆ ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการดำเนินงานที่เข้มงวดเพื่อหลีกเลี่ยงการหลอกลวง

ที่มา : bitcoinist