Brad Garlinghouse CEO ของ Ripple กล่าวในงานประชุม Dubai Fintech Summit เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า บริษัทของเขาอาจต้องใช้เงินมูลค่าสูงถึง 200 ล้านดอลลาร์ในศึกการต่อสู้ทางด้านกฎหมายกับ SEC
SEC ได้เริ่มต้นการฟ้องร้อง Ripple นับตั้งแต่เดือนธันวาคมปี 2020 โดยกล่าวหาว่า Ripple และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท ได้หลอกลวงนักลงทุนด้วยการระดมทุนเงินมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ในรูปของหลักทรัพย์ที่ไม่ได้ทำการจดทะเบียน นับตั้งแต่ปี 2013 อย่างไรก็ตาม Ripple ปฏิเสธว่า XRP ซึ่งเป็นโทเค็นของบริษัทไม่ใช่หลักทรัพย์ ในขณะเดียวกัน บริษัทได้เปิดตัวสาขาของภูมิภาคในเมืองดูไบในปีเดียวกันกับที่ทางบริษัทพิจารณาว่าจะย้ายออกจากสหรัฐฯ
Brad Garlinghouse กล่าวในการประชุมว่า เขาจะกีดกันผู้ประกอบการ Crypto จากการตั้งถิ่นฐานในสหรัฐฯ “หากผมเป็นคุณ ผมจะไม่เริ่มต้นธุรกิจในสหรัฐฯ” พร้อมเสริมด้วยว่า “บริษัทที่มีสำนักงานใหญ่ในอเมริกาหลายแห่งและบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะเห็นด้วยกับเขา”
เขายังระบุด้วยว่า กระบวนการทางกฎหมายของสหรัฐฯ ล่าช้ากว่าหน่วยงานกำกับดูแลสินทรัพย์เสมือนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และร่างกฎหมาย MICA ของสหภาพยุโรป
ผู้สังเกตการณ์ตลาด Crypto ได้กล่าวหาหน่วยงานกำกับดูแลของสหรัฐฯ ในการใช้กลยุทธ์ควบคุมด้วยการบังคับใช้กฎหมายโดยหน่วยงานเฝ้าระวังอย่าง SEC และ CFTC และเลือกที่จะใช้การดำเนินการทางกฎหมายแทนที่จะสร้างกฎหมายใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมแห่งนี้
โดยเฉพาะ SEC ที่ได้เข้ามาควบคุมบริษัท Crypto ชื่อดังบางส่วนด้วยข้อหาการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลังจากการล่มสลายของ FTX, Brad Garlinghouse ยังได้กล่าวด้วยว่า ผู้คนส่วนใหญ่ที่ทำงานในวงการ Crypto เป็นผู้เล่นที่ดีที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ขอเพียงกฎหมายนั้นมีความชัดเจน
คดีความระหว่าง SEC และ Ripple ได้ดำเนินการยืดเยื้อมานานกว่าปีแล้ว อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าคดีดังกล่าวจะได้ข้อสรุปภายในอีกสามถึงหกสัปดาห์ข้างหน้า
ที่มา: ZyCrypto