SEC ยืนยันว่า สินทรัพย์ดิจิทัลหลายรายการที่มีการซื้อขายอยู่ในตลาดนั้นเข้าข่ายเป็นหลักทรัพย์ ภายใต้กฎหมาย Securities Act of 1933 ประกอบกับคำตัดสินของศาลที่ระบุว่า การทำธุรกรรมเหล่านี้มีความเกี่ยวข้องกับการลงทุนกับผู้ประกอบการ
ซึ่งเมื่อนำกฎหมายฉบับนี้มาปรับใช้กับตลาด Crypto จะส่งผลให้โทเค็นหลายสกุลถูก SEC จัดว่าเป็นหลักทรัพย์ และต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมาย โดย Crypto ที่ถูก SEC จัดประเภทเป็นหลักทรัพย์ได้แก่ :
- XRP (XRP)
- Telegram Gram Token (TON)
- LBRY Credits (LBC)
- Decentraland (MANA)
- DASH (DASH)
- Power Ledger (POWR)
- OmiseGo (OMG)
- Algorand (ALGO)
- Naga (NGC)
- TokenCard (TKN)
- IHT Real Estate (IHT)
- Kik (KIN)
- Salt Lending (SALT)
- Beaxy Token (BXY)
- DragonChain (DRGN)
- Tron (TRX)
- BitTorrent (BTT)
- Terra USD (UST)
- Luna (LUNA)
- Mirror Protocol
- mAssets (Multiple Symbols)
- Mirror Protocol (MIR)
- Mango (MNGO)
- Ducat (DUCAT)
- Locke (LOCKE)
- EthereumMax (EMAX)
- Hydro (HYDRO)
- BitConnect (BCC)
- Meta 1 Coin (META1)
- Rally (RLY)
- DerivaDAO (DDX)
- XYO Network (XYO)
- Rari (RGT)
- Liechtenstein Cryptoasset Exchange (LCX)
- DFX Finance (DFX)
- Kromatica (KROM)
- FlexaCoin (AMP)
- Filecoin (FIL)
โดยทั่วไปแล้ว การซื้อขายหลักทรัพย์ที่ไม่ได้จดทะเบียนถือเป็นการละเมิดกฎหมายของสหรัฐฯ ซึ่งอาจนำไปสู่การจ่ายค่าปรับหรือสูญเสียผลกำไร ทำให้โทเค็นเหล่านี้ จำเป็นต้องทำการทำการจดทะเบียนกับ SEC ก่อนเปิดขายโทเค็น
การที่ SEC จัดโทเค็นต่าง ๆ เป็นหลักทรัพย์ ทำให้กระดานเทรดทั่วโลกเริ่มทำการรวบรวมรายชื่อโทเค็นที่อาจต้องเผชิญกับการตรวจสอบทางกฎหมาย ในขณะที่กระดานเทรดสหรัฐฯ บางแห่ง ได้รวบรวมรายชื่อ Crypto ที่ SEC ระบุว่าผิดกฎหมายหากทำการขาย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินการทางกฎหมายและการดำเนินงานของกระดานเทรดต่าง ๆ รวมไปถึงมูลค่าตลาดและสภาพคล่องของโทเค็นที่อยู่ในรายชื่อเหล่านี้ด้วย
การกระทำดังกล่าวของ SEC ส่งผลให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นในชุมชน Crypto ว่า การตัดสินใจนี้อาจเป็นการขัดขวางนวัตกรรมของอุตสาหกรรม Crypto และเทคโนโลยีบล็อกเชนในสหรัฐฯ
ที่มา: beincrypto