ธนาคารกลางอินเดียรายงานว่าผลการนำร่องรูปีดิจิทัลทั้งสองเป็นที่น่าพอใจและสอดคล้องกับความคาดหวังโดยกำลังเพิ่มโครงการทดสอบสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) 2 โครงการ ซึ่งศึกษาการใช้งานรูปีดิจิทัลทั้งแบบขายปลีกและขายส่ง
ธนาคารกลางแห่งอินเดีย (RBI) กล่าวว่าขณะนี้กำลังแนะนำกรณีการใช้งานและคุณสมบัติต่าง ๆ สำหรับโครงการในปีงบประมาณหน้า โดยเมื่อไม่นานมานี้ธนาคารกลางอินเดียได้นำร่องรูปีดิจิทัล หรือ e-Rupee เมื่อปีที่แล้ว
ทั้งนี้ธนาคารมีแผนที่จะขยายโครงการนำร่องค้าปลีกโดยเพิ่มธนาคารที่เข้าร่วมจำนวนมากขึ้น ตามรายงานประจำปีของธนาคารที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม
การทดสอบ CBDC ขายส่งของอินเดียเริ่มเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว แนวคิดคือเพื่ออำนวยความสะดวกในการชำระธุรกรรมในตลาดรองในหลักทรัพย์ของรัฐบาลโดยใช้เงินรูปีดิจิทัล เก้าธนาคารเข้าร่วมในเฟสแรก
โครงการนำร่องค้าปลีกเริ่มขึ้นในเดือนธันวาคม โดยมีเป้าหมายที่จะใช้เงินรูปีดิจิทัลแทนธนบัตรสกุลเงินจริง ธนาคารกลางกล่าวว่าธนาคาร 8 แห่งได้มีส่วนร่วมในการนำร่องการค้าปลีกแล้ว และอีก 5 แห่งอยู่ในขั้นตอนการเข้าร่วม
“ผลลัพธ์ของนักบินทั้งสองจนถึงตอนนี้เป็นที่น่าพอใจและเป็นไปตามความคาดหวัง”
การออกและแลก e-Rupee จะได้รับการจัดการโดย RBI ในขณะที่ธนาคารจะมอบความไว้วางใจในบริการการจัดจำหน่ายและการชำระเงิน
“การตั้งถิ่นฐานด้วยเงินของธนาคารกลางจะช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมโดยแทนที่ความต้องการโครงสร้างพื้นฐานการรับประกันการชำระหนี้หรือหลักประกันเพื่อลดความเสี่ยงในการชำระหนี้”
ก่อนโครงการจะมีการเผยแพร่ธนาคารกลางอินเดียได้บันทึกแนวคิดเกี่ยวกับ CBDC เพื่อเพิ่มความตระหนัก ในบันทึกนี้ RBI กล่าวว่า e-Rupee จะให้ทางเลือกอื่นควบคู่ไปกับเงินรูปแบบเดิม แม้ว่าจะคล้ายกับธนบัตรที่จับต้องได้ แต่ความเป็นดิจิทัลทำให้ธนาคารกลางใช้ได้ง่ายขึ้น เร็วขึ้น และถูกลง
ทั้งนี้ RBI ตั้งข้อสังเกตว่าอินเดียมีความยืดหยุ่นมากขึ้นหลังจากเกิดโรคระบาด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากคลื่นของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล
เทคโนโลยีเฉพาะที่อยู่เบื้องหลัง e-Rupee ยังไม่ชัดเจน ดูเหมือนว่า RBI จะยังคงพิจารณาว่าจะเลือกใช้ระบบการชำระเงินแบบรวมศูนย์แบบปกติ เช่น WeChat และ Venmo หรือระบบเทคโนโลยีบัญชีแยกประเภท (DLT)
อย่างไรก็ตามสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานในเดือนธันวาคมว่า RBI กำลังทำงานร่วมกับ DLT ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่จะครอบคลุมถึงบล็อกเชนระดับองค์กร แต่ในบันทึกแนวคิดอย่างเป็นทางการระบุว่าระบบ DLT ในรูปแบบปัจจุบันนั้นทำงานได้ในความจุที่จำกัดเท่านั้น