ฮ่องกงได้ประกาศจับมือร่วมกับ Chainlink’s Cross-Chain Interoperability Protocol (CCIP) เพื่อทดสอบการทำธุรกรรมข้ามพรมแดนผ่านบล็อกเชนประเภท Permissioned ที่เน้นความเป็นส่วนตัว และบล็อกเชนแบบ Permissionless ที่เน้นการกระจายอำนาจ รวมถึงการชำระเงินโดยใช้สินทรัพย์ดิจิทัลประเภทต่างๆซึ่งคาดว่าจะนำไปต่อยอดในโปรเจกต์สกุลเงินดิจิทัลของรัฐบาล (CBDC)
รายงานจากทาง Visa ยักษ์ใหญ่แห่งโลกการเงินเปิดเผยว่า การจับมือดังกล่าวเป็นเฟสที่สองของโปรเจกต์การพัฒนาสกุลเงิน e-HKD โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะประกอบไปด้วยนักลงทุนชาวออสเตรเลียที่สนใจลงทุนสินทรัพย์ต่าง ๆ ในฮ่องกงที่ผ่านการแปลงเป็นโทเคน ซึ่งการทดสอบครั้งนี้คาดว่าจะมีการรายงานผลในช่วงสิ้นปี 2025
สำหรับ นักลงทุนที่เข้าร่วมโครงการจำเป็นที่จะต้องเข้าซื้อ Stablecoin ของสกุลเงินออสเตรเลียจากนั้นธุรกรรมจะถูกส่งผ่านการทำงานร่วมกันข้ามบล็อกเชนหลายเครือข่าย จนในท้ายที่สุด สินทรัพย์ที่ซื้อจะเข้าสู่กระเป๋าเงินของนักลงทุนในรูปของ CBDC ฮ่องกง ตามภาพประกอบด้านล่าง
ทั้งนี้ Chainlink CCIP (Cross-Chain Interoperability Protocol) ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการเชื่อมต่อข้อมูลและการทำธุรกรรมระหว่างบล็อกเชนต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายที่ใช้ Ethereum Virtual Machine (EVM) อย่าง Ethereum เอง หรือบล็อกเชนที่มีโครงสร้างต่างออกไป เช่น Solana โดย CCIP ทำหน้าที่เป็น “สะพานกลาง” ที่ช่วยให้ระบบเหล่านี้สามารถสื่อสารและส่งข้อมูลถึงกันได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
สำหรับการทดสอบของฮ่องกงในครั้งนี้ จะมีการนำ Sepolia testnet ของ Ethereum มาใช้งานเป็นหนึ่งในเครือข่ายจำลอง เพื่อทดลองการทำธุรกรรมและแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างบล็อกเชนแบบ Permissioned และ Permissionless ซึ่งจะช่วยประเมินความเป็นไปได้ในการใช้งานจริงของเทคโนโลยีดังกล่าวในระดับภาครัฐ โดยเฉพาะในบริบทของการพัฒนา CBDC หรือสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง
ขณะเดียวกันโปรเจกต์ดังกล่าวยังได้มีการจับมือเป็นพันธมิตรอื่น ๆ เช่น Visa ในการดูแลเรื่องของเทคโนโลยี และจับมือกับทาง Australia and New Zealand Banking Group (ANZ), รวมไปถึงบริษัทจัดการสินทรัพย์ ChinaAMC กับ Fidelity International ซึ่งการศึกษานี้เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่รัฐบาลฮ่องกงกำลังดำเนินการเพื่อสำรวจกรณีการใช้งานสำหรับ CBDC ที่อาจเกิดขึ้นจริงในอนาคต
อย่างไรก็ตามแม้ฮ่องกงจะเร่งเดินหน้าโครงการ CBDC แต่ผลสำรวจพบว่าทั่วโลกกลับเริ่มที่จะไม่สนใจในตัวของ CBDC โดยมีเพียงธนาคารกลางเพียง 18% จากทั่วโลกที่ยังคงมีความต้องการออก CBDC อยู่ ลดลงจากตัวเลขเดิมที่ 38% ในปี 2022 เกือบเท่าตัว สิ่งนี้หมายความว่าเทรนด์ของโลกอาจกำลังค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด
ที่มา : Cointelegraph