ในช่วงเวลาที่โลกต้องเผชิญกับความตึงเครียดระดับภูมิรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน สงครามที่ยังดำเนินต่อเนื่องในยูเครน หรือแรงสั่นสะเทือนจากเศรษฐกิจโลก นักลงทุนทั่วโลกต่างจับจ้องไปที่ “สินทรัพย์ปลอดภัย” หรือที่รู้จักกันในชื่อ Store of Value เพื่อปกป้องมูลค่าทรัพย์สินจากความผันผวนในตลาด โดยการเคลื่อนไหวครั้งนี้ได้เผยให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างสินทรัพย์ดั้งเดิมกับสินทรัพย์ดิจิทัลในการรับมือกับวิกฤต
นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความตึงเครียดล่าสุด ราคาทองคำได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากการโจมตีครั้งใหม่ในตะวันออกกลาง ราคาทองคำพุ่งขึ้นถึง 3.2% ทะลุระดับ $2,400 ต่อออนซ์ พร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นกว่า 167% จากค่าเฉลี่ยรายวัน ขณะเดียวกัน กองทุน Gold ETF ยังมีเงินทุนไหลเข้าสูงสุดในรอบ 6 เดือน สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องที่นักลงทุนมีต่อทองคำในฐานะ “สินทรัพย์ปลอดภัย” อันดับต้น ๆ ในยามที่ตลาดเผชิญความไม่แน่นอน
ในทางกลับกัน Bitcoin และตลาดคริปโทเคอร์เรนซีโดยรวมกลับปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน พร้อมกับตลาดหุ้นและสินทรัพย์เสี่ยงประเภทอื่น โดยในช่วงเวลาเดียวกันกับที่ราคาทองคำพุ่งขึ้น Bitcoin กลับร่วงลดลงถึง 4%
ที่น่าสนใจคือ ระดับความสัมพันธ์ระหว่างราคา Bitcoin กับดัชนี S&P 500 ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงที่ 0.76 สะท้อนให้เห็นว่า Bitcoin ยังถูกจัดอยู่ในกลุ่ม “สินทรัพย์เสี่ยง” (Risk Asset) มากกว่าสินทรัพย์ที่นักลงทุนหันหาในยามวิกฤต สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามสำคัญขึ้นในหมู่นักลงทุนว่า Bitcoin ยังถือว่าเป็น Store of Value อยู่จริงหรือไม่ ?

เมื่อพิจารณาจากข้อมูล On-Chain เราจะเห็นสัญญาณของแรงกดดันฝั่งขายที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยจำนวน Bitcoin ที่ไหลเข้าสู่ Exchange เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนที่สถานการณ์ความตึงเครียดจะปะทุอย่างเต็มรูปแบบ ขณะเดียวกัน Wallet ขนาดใหญ่ที่ถือครองมากกว่า 1,000 BTC ก็มีการส่งเหรียญเข้า Exchange เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้ว่าแม้แต่นักลงทุนรายใหญ่หรือ “เจ้ามือ” เองก็เริ่มขยับตัวเพื่อเตรียมขายเหรียญบางส่วน
ที่น่าสังเกตคือ กลุ่ม Long-term Holders ซึ่งถือครอง Bitcoin มาอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ก็เริ่มมีการปล่อยเหรียญออกสู่ตลาดในช่วงไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ซึ่งไม่ใช่พฤติกรรมที่พบได้บ่อยนักในกลุ่มผู้ถือระยะยาว


การวิเคราะห์ Network Activity เผยให้เห็นภาพที่น่าสนใจเช่นกัน จำนวน Active Addresses ลดลงอย่างชัดเจน หลังข่าววิกฤต ขณะที่ Average Transaction Value เพิ่มสูงขึ้น บ่งชี้ว่าเป็นการเคลื่อนย้ายเงินก้อนใหญ่ เนื่องจากความต้องการทำธุรกรรมเร่งด่วน

เมื่อพิจารณาการวิเคราะห์เชิงสถิติตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับดัชนี S&P 500 อยู่ที่ระดับ 0.76 ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากระดับ 0.23 ในปี 2019 ขณะที่ความสัมพันธ์กับ NASDAQ อยู่ในระดับสูงถึง 0.72 แสดงให้เห็นว่า Bitcoin มีพฤติกรรมเคลื่อนไหวคล้ายกับสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ ในทางกลับกัน ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับทองคำอยู่เพียง 0.15 เท่านั้น
ที่น่าสนใจคือ ในช่วงเวลาวิกฤต เช่น ภาวะตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์หรือเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ระหว่าง Bitcoin กับตลาดหุ้นพุ่งสูงถึง 0.85+ ซึ่งหมายความว่า Bitcoin มักปรับตัวลงพร้อมกับหุ้น ขณะที่ทองคำกลับมีความสัมพันธ์เชิงลบกับหุ้นที่ระดับ -0.45 ซึ่งบ่งชี้ถึงพฤติกรรมที่เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามคุณสมบัติสำคัญของ “สินทรัพย์หลบภัย” อย่างแท้จริง
แม้ว่า Bitcoin จะยังมีข้อจำกัดในฐานะ Store of Value โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤต แต่ข้อมูล On-Chain ล่าสุดยังสะท้อนให้เห็นถึงจุดแข็งที่ไม่อาจมองข้ามได้ ไม่ว่าจะเป็นระดับความปลอดภัยของเครือข่าย (Network Security) ที่ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 750 EH/s จำนวน Full Nodes ทั่วโลกเพิ่มขึ้นมากกว่า 17,500 โหนด บ่งชี้ถึงการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ที่กว้างขวาง และการกระจายศูนย์ของระบบขุด (Mining Decentralization) ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ อุปทานของ Bitcoin ยังคงถูกจำกัดที่ 21 ล้าน BTC ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ ซึ่งแตกต่างจากสกุลเงินทั่วไปที่อาจถูกพิมพ์เพิ่มโดยรัฐบาล และเมื่อพิจารณาถึงเหรียญที่สูญหายถาวรบนเครือข่าย ซึ่งคาดว่าอยู่ระหว่าง 3–4 ล้าน BTC ทำให้จำนวนอุปทานหมุนเวียนจริงลดลงเรื่อย ๆ ในเชิงกลไก ส่งผลให้ความขาดแคลนยิ่งทวีความชัดเจนขึ้นในระยะยาว
ในด้านการยอมรับ ข้อมูลยังเผยให้เห็นแนวโน้มเชิงบวก เช่น จำนวน Address ที่ถือครองมากกว่า 1 BTC มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การถือครองของภาคองค์กร (Corporate Treasury Holdings) เพิ่มขึ้นถึง 340% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ขณะที่กองทุน Bitcoin ETF ทั่วโลกมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) รวมกันสูงกว่า 132,000 ล้านดอลลาร์ สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนสถาบันที่กำลังเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดสำคัญของ Bitcoin ยังคงเป็นเรื่องของความผันผวน โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า ความผันผวนเฉลี่ยในรอบ 90 วันของ Bitcoin อยู่ที่ 60–80% ราคามีการเคลื่อนไหวต่อวันเฉลี่ย 4–6% และมีการเปลี่ยนแปลงเกินกว่า 10% มากถึง 15–20 ครั้งต่อปี ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์แบบดั้งเดิม
หากเปรียบเทียบกับทองคำจะยิ่งเห็นภาพชัดเจน ทองคำมีมูลค่าตลาดราว 23 ล้านล้านดอลลาร์ สภาพคล่องต่อวันอยู่ที่ประมาณ 1-2 แสนล้านดอลลาร์ และมีระดับความผันผวนเพียง 12–18% ต่อปี ในขณะที่ Bitcoin มี Market Cap ราว 2.08 ล้านล้านดอลลาร์ วอลุ่มซื้อขายต่อวันสูงถึง 6.8 – 7 หมื่นล้านดอลลาร์ แต่มีความผันผวนเฉลี่ยสูงถึง 65–85% ต่อปี
ยกตัวอย่างในช่วงวิกฤต COVID-19 เดือนมีนาคม 2020 ทองคำปรับตัวขึ้นเล็กน้อยที่ 0.8% ในสัปดาห์แรกของความตื่นตระหนก ขณะที่ Bitcoin ร่วงลงกว่า 37% แม้ว่าในระยะยาว Bitcoin จะฟื้นตัวและให้ผลตอบแทนดีกว่า แต่พฤติกรรมของตลาดในช่วงวิกฤตก็ยังแสดงให้เห็นว่า “ความเชื่อมั่นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย” ยังเทไปทางทองคำเป็นหลัก
การเปรียบเทียบกับทองคำในช่วงเวลาวิกฤตล่าสุดนี้ เผยให้เห็นภาพความจริงที่สำคัญว่า แม้ Bitcoin จะมีโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคที่แข็งแรง มีการกระจายตัวที่ดี และเต็มไปด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย แต่ในมุมมองของนักลงทุนส่วนใหญ่ มันยังคงถูกจัดอยู่ในกลุ่มสินทรัพย์เสี่ยง (Risk Asset) มากกว่าสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Asset)
คำถามสำคัญจึงอาจไม่ใช่แค่ “Bitcoin สามารถเป็น Store of Value ได้หรือไม่” แต่คือ “Bitcoin พร้อมแล้วหรือยังที่จะเป็น Store of Value อย่างแท้จริง?” เพราะสิ่งที่จะทำให้ Bitcoin ก้าวข้ามจุดนั้นได้ ไม่ใช่เพียงแค่เทคโนโลยีหรือจำนวนผู้ถือครอง แต่คือการพิสูจน์ตัวเองผ่านวิกฤตซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งในแง่ของสภาพคล่อง ความมั่นคงของเครือข่าย ความปลอดภัยของระบบ และการตอบสนองของตลาดในยามเกิดวิกฤต
ในระยะยาว Bitcoin ย่อมมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็น Store of Value ได้อย่างแน่นอน หากได้รับการใช้งานอย่างต่อเนื่องจากทั้งประชาชนและสถาบัน ภายใต้กรอบกำกับดูแลที่ชัดเจน และผ่านการทดสอบในสถานการณ์จริงอย่างหนักหน่วง แต่ในระยะสั้น เหตุการณ์ล่าสุดได้ตอกย้ำว่าสถานะนั้นยังไม่มั่นคงพอ และในวันที่โลกต้องการความมั่นใจ นักลงทุนยังคงหันไปหาทองคำเป็นที่พึ่งอันดับแรก
ที่มา : amberdata , chainalysis , bitcoinmagazine , Glassnode