เมื่อเช้าของวันที่ 19 มิถุนายนที่ผ่านมา ทีมงาน Siam Blockchain ได้รับเกียรติเข้าร่วมงานสัมมนา “Blockchain เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก” จากธนาคารกสิกรไทย โดยในงานนั้นจะกล่าวถึงบทบาทของเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่จะเปลี่ยนแปลงการรูปแบบการให้บริการด้านการเงินอย่างสิ้นเชิง และยังมีการเสวนา Enterprise Letter of Guarantee on Blockchain กับความท้าทายของนวัตกรรมใหม่ บทบาทของบริการหนังสือค้ำประกันผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ธนาคารกสิกรไทยเริ่มให้บริการแล้วเป็นครั้งแรกของโลก
โดยในพิธีเปิดได้มีการกล่าวเปิดงานจาก คุณพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย โดยกล่าวถึงเรื่องการยกระดับการใช้ระบบ Blockchain สำหรับหนังสือค้ำประกันที่เป็นที่แรกของโลกจะเป็นจุดเริ่มต้นให้ภาครัฐและเอกชนหันมาสนใจนวัตกรรมเพื่อให้แข่งขันในเวทีโลก
และคุณ คุณฤชุกร สิริโยธิน รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีการกล่าวว่า Blockchain จะเข้ามีบทบาทต่อเทคโนโลยีและภาคธุรกิจอย่างไร รวมถึงนโยบายในการนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยเอ่ยถึง Regulatory Sandbox ที่สามารถให้ภาครัฐและเอกชนนำเทคโนโลยีมาทดลองใช้ได้ และการสร้างมาตรฐานเกี่ยวกับด้าน Cyber security เพื่อให้เข้ากับนโยบาย 4.0โดยเนื้อหาของการบรรยายในช่วงแรกโดยส่วนใหญ่นั้นจะกล่าวถึงประโยชน์ของเทคโนโลยี Blockchain ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อธุรกิจโดยกล่าวถึงประโยชน์ที่ธุรกิจนั้นจะได้รับไม่ว่าจะเรื่อง
- การประหยัดเวลา(Save time)
- การลดค่าใช้จ่าย(Remove cost)
- การลดความเสี่ยง (Reduce risk)
- การเพิ่มความน่าเชื่อถือ (Increase trust)
รวมถึงการนำเสนอ Hyperledger ที่เป็น Private Blockchain ของ IBM ว่ามีความแตกต่างจาก Public Blockchain ของ Bitcoin อย่างไรอีกทั้งยังกล่าวถึงความเป็นไปได้ของการนำ Blockchain ไปใช้ในรูปแบบธุรกิจอื่นๆอีก
และในช่วงที่สอง คุณสมคิด จิรานันตรัตน์ รองประธาน KASIKORN Business-Technology Group ได้มาบรรยายเกี่ยวกับเรื่อง ว่า Blockchain ของธนาคารกสิกรจะเอิ้อประโยชน์แก่องกรณ์ต่างๆยังไง โดยได้เอ่ยถึง Origincert ซึ่งมาจากคำว่า Origin และ certify โดย Origincert ที่ซึ่งเปรียบเสมือน Api เพื่อใช้ service ของ Blockchain ของธนาคารกสิกร โดยที่องกรณืที่มาเข้าร่วมไม่จำเป็นต้องพัฒนาระบบ Blockchain ของตัวเอง และยังพูดถึงความน่าเชื่อถือและความเป็นได้อื่นที่สามารถนำระบบ Blockchain เพื่อแก้ไขความยุ่งยากของการเก็บเอกสารที่มากมายให้มาอยู่ใน Blockchain อย่างในหนังสือค้ำประกัน ซึ่งหากมีการมีองกรณ์ที่เกี่ยงข้องมาข้องมากเท่าไหร่จะทำให้หนังสือค้ำประกันที่อยู่บน Blockchain มีความน่าเชื่อถือขึ้น
“Blockchain คืออินเตอร์เนตแห่งความน่าเชื่อถือ หากเรามองดูข้อมูลมากมายบนอินเทอร์เนตเราอาจจะสับสนในข้อมูลที่แตกต่างว่ามันถูกต้องหรือเปล่า ไม่ได้ถูกปลอมแปลงหรือเปล่า แต่หากมันอยู่ใน Blockchain เราสามารถเชื่อได้เลยว่ามันมาจากต้นทาง”
กล่าวโดย คุณสมคิด จิรานันตรัตน์
โดยในการเสวนาส่วที่สองจะเป็นการเสวนาโดย
คุณสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ
สายนโยบายระบบการชำระเงินและ เทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย
– คุณศีลวัต สันติวิสัฎฐ์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย
– คุณชิณเสณี อุ่นจิตติ ผู้ช่วยผู้ว่าการ บัญชีและการเงิน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
– คุณสารนิต อังศุสิงห์ รองผู้ว่าการเทคโนโลยีสารสนเทศและระบบสื่อสาร การไฟฟ้านครหลวง
– คุณดวงกมล เศรษฐธนัง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี
บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)
– คุณณรงค์ชัย พิสุทธิ์ปัญญา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โพลีเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด
ซึ่งเนื้อหาของการเสวนาจะกล่าวถึงความเป็นไปได้ในการนำระบบ Blockchain ไปใช้ในกรณีต่างๆ ไม่ว่าประโยชน์ของการนำไปใช้กับหนังสือคำประกันของการไฟฟ้า หรือโฉนดที่ดิน ซึ่งการเก็บเอกสารแบบดั้งเดิมจะมีปัญหามาก เนื่องจากบางครั้งเอกสารมีการเปลี่ยนแปลงหรือเอกสารหายรวมถึงความล่าช้าในการหาเอกสาร และยังกล่าวถึงนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยที่จะนำระบบ Blockchain มาทดสอบเพื่อศึกษาความเสี่ยงต่างๆที่เป็นไปได้ที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อให้เข้ากับนโยบาย Thailand 4.0 รวมถึงกล่าวว่าเทคโนโลยีเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ซึ่งจะพยายามผลักดันเทคโนโลยีต่างๆที่ไม่ใช่แค่เพียง Bloackchain เพื่อให้ประเทศไทยสามารถไล่ทันชาติอื่นๆได้
กสิกรไทยเปิดบริการหนังสือค้ำประกันบนบล็อกเชนครั้งแรกของโลกตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนการใช้งานผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เป็น 35%
กสิกรไทยเปิดโลกใหม่บริการหนังสือค้ำประกันมูลค่า 1.35 ล้านล้านบาท นำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้เป็นครั้งแรกของโลก สร้างมาตรฐานใหม่หนังสือค้ำประกันอิเล็กทรอนิกส์ ลดขั้นตอนเวลา ต้นทุน เพิ่มความปลอดภัยสูงสุด หนุนภาคธุรกิจขับเคลื่อนเร็วขึ้น 4 หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ-เอกชนร่วมพัฒนาใช้นวัตกรรมนี้ หวังดันสัดส่วนหนังสือค้ำประกันผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นเป็น 35% สิ้นปีหน้า
นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการสร้างเครือข่ายระบบเก็บรักษาและเรียกใช้เอกสารยุค 4.0 ที่มีความปลอดภัยสูง เริ่มเข้ามาพลิกโฉมหน้าธุรกิจในหลายอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการเอกสารให้ดีขึ้น เช่นบริการหนังสือค้ำประกัน ซึ่งรัฐวิสาหกิจ และธุรกิจขนาดใหญ่ กำหนดให้บริษัทคู่ค้าต้องวางหนังสือค้ำประกันจากธนาคารเพื่อความมั่นใจในการประกอบธุรกิจร่วมกัน ดังนั้นเศรษฐกิจไทยจึงมีหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารต่าง ๆ หมุนเวียนในระบบเป็นจำนวนมาก
ธนาคารกสิกรไทย จึงร่วมกับไอบีเอ็มในการนำเทคโนโลยีบล็อกเชนสร้างระบบต้นแบบใช้รับรองเอกสารต้นฉบับ นอกจากนี้ ได้ทำการทดสอบบริการบนRegulatory Sandbox ของธนาคารแห่งประเทศไทย และจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ ได้แก่ การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค บมจ. พีทีที โกลบอล เคมิคอล และบจก. พีทีที โพลีเมอร์ มาร์เก็ตติ้ง ร่วมพัฒนา บริการหนังสือค้ำประกันบนเทคโนโลยีบล็อกเชน (Enterprise Letter of Guarantee on Blockchain) เพื่อยกระดับการจัดการเอกสารหนังสือค้ำประกันแก่หน่วยงานผู้รับหนังสือค้ำประกัน และคู่ค้าผู้วางหนังสือค้ำประกัน กล่าวคือ รัฐวิสาหกิจหรือธุรกิจขนาดใหญ่ ที่มีคู่ค้าจำนวนมาก จะเชื่อมโยงเอกสารหนังสือค้ำประกันของคู่ค้าทั้งหมดบนมาตรฐานเดียวกันด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ 100% ตลอดกระบวนการตั้งแต่เริ่มจนจบโดยไม่ใช้กระดาษ ปลอดภัยสูง ตรวจสอบได้ง่าย และยังปลอมแปลงยาก รวมทั้งสะดวกรวดเร็วกว่ารูปแบบเดิม ซึ่งสามารถเข้าตรวจสอบได้ ทุกที่ ทุกเวลา และจะบันทึกประวัติต่อเป็นห่วงโซ่แบบอัตโนมัติทุกครั้งที่มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ ยังเอื้อให้เกิดการเชื่อมต่อไปยังเครือข่ายธนาคารต่าง ๆ ได้ในอนาคต บริษัทผู้รับหนังสือค้ำประกันจึงเข้าระบบเพื่อดูเอกสารหนังสือค้ำประกันของคู่ค้าที่ออกโดยธนาคารต่าง ๆ ได้ จากการเข้าระบบเพียงครั้งเดียว
บริการหนังสือค้ำประกันบนเทคโนโลยีบล็อกเชน จึงมีประโยชน์ต่อธุรกิจใน 6 ด้าน ได้แก่
1.ความปลอดภัย มีการจัดเก็บข้อมูลขึ้นบนระบบบล็อกเชนที่มีมาตรฐานเดียวกันและตรวจสอบสถานะได้ตลอดเวลา
2.ความเร็ว ช่วยลดเวลาขั้นตอนด้านเอกสารจาก 24 ชั่วโมง เหลือเพียง 30 นาที
3. การลดต้นทุน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายการจัดการเอกสารลง 2 เท่า
4.การเพิ่มประสิทธิภาพ ภาคธุรกิจให้จัดการเอกสารได้รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา
5. ข้อมูลรวมศูนย์ ภายใต้แพลตฟอร์มเดียวกัน และ
6.การสร้างโอกาสทางธุรกิจ ช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น โดยการใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านฐานข้อมูลที่มีมาตรฐานร่วมกัน สามารถเชื่อมต่อเพื่อต่อยอดได้ในอนาคต
นายพิพิธ กล่าวตอนท้ายว่า ในปี 2560 คาดว่าประเทศไทยจะมีการออกหนังสือค้ำประกันผ่านระบบธนาคารพาณิชย์มูลค่ารวมกว่า 1.35 ล้านล้านบาท ขยายตัวจากปีที่ผ่านมา 8% ในจำนวนนี้เป็นหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารกสิกรไทย ประมาณ 3.3 แสนล้านบาท ที่ส่วนแบ่งตลาด 25% เป็นอันดับหนึ่ง เป็นการใช้บริการหนังสือค้ำประกันผ่านสาขา 80% และผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ 20% ซึ่งธนาคารตั้งเป้าว่า ในสิ้นปี 2561 จะสามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้บริการผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์เป็น 35% โดยเป็นสัดส่วนที่ใช้ผ่านบล็อกเชน 5% ทั้งนี้เชื่อมั่นว่า บริการหนังสือค้ำประกันบนเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกนี้ จะถูกนำไปใช้และพัฒนาให้เป็นมาตรฐานใหม่ที่เป็นสากล เพราะบล็อกเชนจะเอื้อให้ทุกภาคส่วนในระบบเชื่อมต่อและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ร่วมกัน ช่วยลดปริมาณการใช้กระดาษ พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ พร้อมขับเคลื่อนสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น