ในอดีตกาลก่อนที่เราจะมีอินเตอร์เนต การขนส่งและแลกเปลี่ยนเงินตราไม่ได้มีความรวดเร็วเฉกเช่นทุกวันนี้ ในยุคแรกเริ่มเราใช้สิ่งของในชีวิตประจำวันในการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน หรือที่คุ้นหูกันดีในนาม Barter Sytem โดยภายหลัง การแลกเปลี่ยนก็วิวัฒนาการมาใช้หินแร่ที่มีความหายากเช่นหรือทองคำในการแลกเปลี่ยนสินค้า และได้เริ่มพัฒนาเข้าสู่ระบบเงินตราที่มีธนาคารและรัฐเข้าควบคุม แต่การขนเงินจำนวนมากก็ยังเป็นปัญหา จึงได้มีการออกตั๋วเงินซึ่งเป็นเอกสารที่สามารถไปขึ้นเงินได้กับธนาคาร
จนกระทั่งมีอินเทอร์เนตการขนส่งและย้ายเงินของเราสามารถทำได้รวดเร็วขึ้น แต่การที่มีตัวกลางอย่างธนาคารบางครั้งก็ไม่ได้ทำให้การขนย้ายเงินจำนวนมากทำได้อย่างรวดเร็ว แนวคิดเรื่องเงินดิจิตอลจึงเริ่มขึ้นมาตั้งแต่ตอนนั้น จะเป็นอย่างไรถ้าข้อมูลดิจิตอลนั้นมีมูลค่าและสามารถแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระเท่ากับความเร็วของอินเตอร์เนต ซึ่ง Bitcoin และ Cryptocurrency ก็ได้พิสูจน์ความสามารถของเราให้พวกเราเห็นแล้ว แต่ก่อนที่จะมี Bitcoin มีเงินดิจิตอลมากมายที่มีความพยายามจะถูกสร้างขึ้นแต่กลับล่มสลายไปเพราะเหตุผลต่างๆนา
โดยในวันนี้เราจะมาเล่าเรื่องเงินดิจิตอลตัวนึงที่มีมาก่อน Bitcoin โดยเงินดิจิตอลตัวนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงเวลานึงซึ่งมันมีชื่อว่า E-Gold
E-Gold คืออะไร?
E-Gold คือเงินดิจิตอลที่มีทองคำเป็นหลักประกัน ถูกบริหารโดยบริษัท Gold & Silver Reserve Inc ภายใต้ E-gold Ltd โดยผู้ใช้สามารถเปิดบัญชีกับ E-gold บนเวปไซต์และซื้อทองคำตามที่ผู้ใช้ต้องการ โดยทองคำที่ซื้อไปนั้นจะสามารถส่งไปให้ผู้ใช้คนอื่นได้อย่างรวดเร็วผ่านทางระบบออนไลน์ e-gold เปิดตัวในปี 1996 และมีผู้ใช้กว่า 5 ล้านคนในปี 2009 และสุดท้ายมันถูกระงับบริการด้วยเหตุผลทางกฎหมาย ซึ่งในปี 2006 นั้น E-gold มีโวลลุ่มการซื้อขายต่อปีถึง 2 พันล้านดอลลาร์ ทั้งที่มีทองคำสำรองเพียง 71 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ซึ่งสูงกว่าถึง 28 เท่า
อ้างอิงจาก ผู้ใช้คนนึงบน Reddit กล่าวไว้ว่าระบบ E-gold นั้นไม่ได้ใช้ Blockchain เหมือน Bitcoin มันระบบที่เป็น Centralized ที่ทุกอย่างจะถูกควบคุมจากศูนย์กลางทำให้มันถูกเป็นเป้าโจมตีได้ง่ายรวมถึงการถูกควบคุมจากรัฐบาล ต่างจากระบบ Decentralized ของ Bitcoin ที่ถูกโจมตีได้ยากและรัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้
ประวัติ
E-gold ถูกก่อตั้งขึ้นในโดย Douglas Jackson และ Barry Downey ในปี 1996 โดยเป็นระบบที่มีทองคำเป็นหลักประกัน ซึ่งพวกเขาเก็บทองคำไว้ในธนาคาร บริษัทนี้เปิดตัวก่อน Paypal ประมาณ 2 ปีแต่ไม่ได้มีการเติบโตเท่าไหร่จนกระทั่งปี 2004 มีผู้ใช้กว่าล้านคนซึ่งมันกลายเป็นเงินดิจิตอลตัวแรกที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายและมีผู้ค้าที่รับเงินสกุลนี้ และมันยังมี Payment gateway ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครดิตการ์ดตัวแรกของโลกอีกด้วย
หลังจาก Palm pilot ถูกเปิดตัวนั้น E-gold ก็ได้เปิดตัว wireless mobile payment ในปี 1999 ซึ่งมันถูกใช้อย่างแพร่หลายในการประมูลออนไลน์, คาสิโนออนไลน์, องกรณ์ทางราชการ และบริษัทไม่แสวงหาผลกำไร
ในช่วงปี 1996-1999 E-gold สามารถขึ้นไปอยู่บนกระดานซื้อขายที่ชื่อว่า InExchange และ OutExchange และในปี 2000 ระบบก็ได้ถูกปรับปรุงเพิ่มเติมโดยเป็นระบบที่สร้างโดย OmniPay
และในปี 2000 ได้เกิดตลาดแลกเปลี่ยนมากมายที่สามารถแลก E-gold กับเงินสกุลท้องถิ่นต่างๆและในปี 2001 มันสามารถแลกเปลี่ยนได้กับเงินสกุลท้องถิ่นกว่า 12 สกุลทั่วโลก ธุรกรรมของ E-gold นั้นสามารถแบ่งละเอียดได้ถึง 1/1000 ของทองคำหนึ่งกรัมซึ่งตอนนั้นมันเป็น Micropayment ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ทำให้มีการแลกเปลี่ยนกว่า 1,000 รายการต่อวัน
E-gold ได้สร้างระบบที่ชื่อว่า “e-gold Special Purpose Trust” ซึ่งสามารถจะตรวจสอบได้ว่าผู้ใช้นั้นมีเงินในบัญชีอยู่เท่าไหร่แบบเรียลไทม์รวมถึงแสดงข้อมูลอื่นๆเช่นเลขบัญชี จำนวนบัญชี วอลุ่มใน 24 ชั่วโมงทำให้สามารถเห็นได้ว่ามันมีการเติบโตมากเท่าไหร่
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
การถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด
ความสำเร็จของ E-gold นั้นนำมาซึ่งปัญหามากมายในระบบ หน้าเวปไซต์ของ E-gold ที่มีผู้ใช้มากมายกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตีของมัลแวร์และ phishing scam (การโจรกรรมโดยสร้างอีเมล์ปลอมให้ผู้ใช้ใส่รหัสผ่าน) และมีปริมาณที่มากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ E-gold มากมายโดนหลอกด้วย Email phishing ในปี 2001
การที่ไม่สามารถยืนยันตัวตนของผู้ใช้ได้ E-gold จึงประสบกับปัญหาในเรื่องของ Hacker ที่มีปริมาณมาก รวมถึง Hacker ยังขโมยข้อมูลผู้ใช้ผ่านทาง Microsoft Windows และ Internet Explorer อีกด้วยซึ่งมีคอมพิวเตอร์กว่าล้านเครื่องโดนโจรกรรมข้อมูลและยังมีปัญหาในเรื่องการยืนยันตัวตนของผู้ใช้ที่เป็นปัญหาเพราะผู้ใช้สามารถใส่ชื่อหรืออักขระพิเศษอะไรก็ได้ที่พวกเค้าต้องการ
มีการต้มตุ๋นเกิดขึ้นมากมายที่ใช้ประโยชน์จากระบบของ E-gold มันทำให้เกิดระบบ Ponzi มากมายรวมถึงการขายสินค้าหลอกๆบน eBay และรับชำระด้วย E-Gold เพราะสามารถจ่ายได้รวดเร็ว
และจากการที่มีการโจรกรรมทางออนไลน์มากมายที่ใช้ระบบ E-gold ทำให้รัฐบาลเข้ามาตรวจสอบแต่ปัญหาคือหน่วยงานของรัฐบาลรัฐบาลก็ไม่ได้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างบัญชีเงินฝากปกติกับบัญชีอิเล็กทรอนิคของ E-gold
เงินดิจิตอล E-gold นั้นมีปัญหากับระบบธนาคารมากมายเพราะมันไม่ได้ถูกออกแบบมาให้เข้ากับระบบดิจิตอลของธนาคารส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา
การถูกดำเนินคดี
นอกจากปัญหาเรื่องการโจรกรรมมากมายที่เกิดขึ้น E-gold ยังประสบกับปัญหาเรื่องใบอนุญาติในการขนส่งเงิน เนื่องจากทางกฎหมายยังไม่ยอมรับว่าการโอน E-gold นั้นเป็นการโอนเงินทางกฏหมายรวมถึงการไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นสกุลเงิน
ธนาคารนั้นประสบปัญหาการก่ออาชญากรรมมากมายไม่ว่าจะเป็นการฟอกเงินและการต้มตุ๋น ธนาคารที่ใหญ่ที่สุดยังเป็นที่รู้ดีว่ามีส่วนในการฟอกเงิน ทำให้เงินดิจิตอลที่เป็นทางเลือกอย่าง E-gold ถูกจับตามอง
ในขณะที่ e-gold กำลังสร้างระบบควบคุมที่ดีขึ้นในปี 2005 ก็ได้เกิดปัญหาที่ผู้ใช้ระบบขายรูปภาพโป๊ของเด็กที่ไม่บรรลุนิติภาวะทำให้ผิดต่อข้อกฎหมายและยังเป็นการฟอกเงินอีกด้วย สุดท้าย e-gold ก็ได้ถูกสอบสวนในเรื่องการทำธุรกรรมที่ขัดต่อข้อกฎหมายที่ว่า E-gold นั้น สามารถทำธุรกรรมได้อย่างไม่มีจำนวนจำกัดและการไม่มีใบอนุญาติถือเป็นเรื่องผิดกฏหมายและ office ของ E-gold ก็ได้ถูกปิดตัวลงและทองคำที่มีอยู่ก็ถูกยึดโดยรัฐบาล เป็นการปิดตำนานเงินดิจิตอล e-gold ที่เคยเฟื่องฟูที่สุดในเวลาหนึ่ง
ปี 2008 กรรมการ 3 คนของ E-gold ได้ลงนามยอมรับในข้อหาการทำธุรกรรมโดยไม่มีใบอนุญาตและข้อหาสมรู้ร่วมคิดในการฟอกเงิน ทำให้บริษัทถูกริบเงินกู้ที่เคยได้จากทางรัฐบาล
ในเดือนพฤศจิกายนปี 2008 CEO ของ Gold & Silver Reserve นาม Douglas Jackson ถูกพิพากษาให้บำเพ็ญประโยชน์ และถูกคุมประพฤติ 3 ปี รวมถึงการกักบริเวณ 6 เดือน รวมถึงพิพากษาจำคุก 20 ปีและปรับเป็นเงินกว่า 5 แสนดอลลาร์
[rsnippet id=”1″ name=”AdSense In-article ad 1″]
Reid Jackson พี่ชายของ Douglas Jackson และ Barry Downey ถูกทำทัณฑ์บนเป็นเวลา 3ปี, บำเพ็ญประโยชน์ 300 ชั่วโมงและจ่ายค่าปรับ 2500 ดอลลาร์
เราได้อะไรจากเรื่องนี้
ปัญหาเรื่องการ Centralized กับเงินดิจิตอลนั้นทำให้เกิดปัญหาตามมากมายไม่ว่าจะง่ายต่อการเป็นเป้าโจมตีและยังมีเรื่องประเด็นทางกฎหมายที่อ่อนไหวการยอมรับต่างๆ การถูกควบคุมจากองกรณ์ใดองกรณ์นึงหรือแม้กระทั่งการถูกแบนจากรัฐบาล ก็เช่นกัน รวมถึงการบริหารจัดการที่ไม่ดีพอเป็นส่วนทำให้ E-gold ล่มสลาย และระบบใดๆก็ตามที่เป็น Centralized เช่นธนาคารนั้นต้องใช้เงินที่มหาศาลมากในการสร้างรวมถึงจัดการและดูแล
ซึ่งในยุคต่อมาในเงินดิจิตอลของ Bitcoin ได้แก้ปัญหาพวกนี้ไปหมดทั้งสิ้น การเป็น Decentralized นั้นทำให้ระบบของ Bitcoin ยากต่อการถูกโจมตีและระบบยังมีความเสถียรมาก ตั้งแต่ระบบ Bitcoin เปิดตัวมายังไม่เคยมีการ Downtime แม้แต่ครั้งเดียว และเมื่อมันเป็นระบบ Decentralized ที่ทำงานได้ด้วยตัวมันเองทำให้มันไม่จำเป็นต้องมีอ๊อฟฟิซหรือตำแหน่งที่ตั้งให้รัฐบาลมาสอบสวนหรือปิด แม้มันจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดก็ตาม
แน่นอนว่า Bitcoin มันยังมีข้อกังขาอย่างเดียวกับ E-gold ที่มันถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด แต่ปัจจุบันอัตราการใช้ Bitcoin ในทางที่ผิดเทียบกับเงินดอลลาร์หรือเงินสกุลท้องถิ่นยังน้อยอยู่มาก และมันทำให้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันพอสมควร
ในโลกทุกวันนี้เราทำธุรกรรมทุกอย่างผ่านธนาคารมีตัวกลางตรวจสอบได้มาตลอด แต่ว่านั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า? การที่เรามีทรัพย์สินใดๆก็ตาม จริงๆแล้วเราควรจะโยกย้ายมันได้อย่างอิสระ โดยที่ไม่ต้องมีตัวธนาคารหรือองค์กรใดก็ตามมาตรวจสอบหรือระงับการทำธุรกรรมของเราถูกหรือไม่? เช่นหากเราจะย้ายเงิน 1 ล้านดอลลาร์ข้ามประเทศ จริงๆแล้วการที่เราถูกตรวจสอบการย้ายเงินโดยบุคคลที่สามที่ที่มีอำนาจกระทั่งสามารถระงับการย้ายเงินของเรา มันเป็นเรื่องที่ควรจะเป็นหรือเปล่า?
ซึ่งแม้ Bitcoin จะมีความสามารถนั้นเราก็ยังต้องดูกันต่อไปว่ามันจะมีผลในอนาคตมากแค่ไหนมันจะเปลี่ยนแปลงความคุ้นเคยในการทำธุรกรรมไปได้มากแค่ไหนในขณะที่โลกยังยอมรับการโอนเงินที่ต้องผ่านตัวกลางอย่างธนาคารซะเป็นส่วนใหญ่
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น