เมื่อวันที่ 14 มกราคมที่ผ่านมา อ้างอิงจากนาย Dan Held ผู้เชี่ยวชาญในคริปโตและ Blockchain ได้กล่าวว่า Satoshi Nakamoto หรือผู้สร้าง Bitcoin นั้นต้องการให้มันเป็นทางเลือกจากธนาคารไม่ใช่ “VISA อีกอันหนึ่ง”
โลกต้องการทางเลือกจากธนาคาร
เขาได้ทำการโต้แย้งว่า Bitcoin ที่เป็น “Satoshi’s Vision” นั้นไม่ได้เป็นความตั้งใจที่แท้จริงของ Bitcoin ที่ถูกตีพิมพ์ลงใน Whitepaper โดย Satoshi Nakamoto ในปี 2008
นาย Held ได้กล่าวว่า จริง ๆ แล้ว Satoshi ต้องการให้ Bitcoin เป็นสิ่งที่เก็บมูลค่า (Store of Value) มากกว่าการเป็นเครือข่ายทางเลือกในการชำระเงินเช่น VISA หรือ MasterCard ซึ่งมีความเร็วและรองรับธุรกรรมได้มากกว่า Bitcoin
“ในวิกฤติการณ์ทางการเงินปี 2008 ความเชื่อใจได้หายไปจากโลกของเราที่ต้องใช้ความเชื่อใจเป็นหลัก Bitcoin เกิดขึ้นมาในตอนนั้น Satoshi ได้หว่านเมล็ดในจังหวะที่พอดิบพอดี โลกของเราไม่ได้ต้องการ VISA อีกอันหนึ่ง แต่ต้องการทางเลือกจากธนาคารต่างหาก”
1/ Satoshi’s Vision™ is a silly endeavor, as it doesn’t matter what it was, we are where we are now. However, those pushing the “Bitcoin was first made for payments” narrative insist on cherry-picking sentences from the white paper and forum posts to champion their perspective.
— Dan Hedl (@danheld) January 14, 2019
เขาได้อธิบายต่อไปอีกด้วยว่า การที่จะรู้เจตจำนงที่แท้จริงของ Satoshi ได้นั้นต้องคำนึงถึงการใช้งาน, เวลาและผู้ใช้งานที่เขาตั้งใจไว้ และได้หยิบยกคำพูดของ Satoshi ขึ้นมา เพื่อชี้ว่าจริง ๆ แล้ว Bitcoin คือทางเลือกสำหรับธนาคารต่างหาก:
“‘ปัญหาต้นตอของค่าเงินคือมันจำเป็นต้องใช้ความเชื่อใจ แต่จากในอดีตเราก็เห็นได้ว่าค่าเงิน Fiat นั้นมีช่องโหว่เต็มไปหมด ด้วย Bitcoin เราจะชนะการต่อสู้นี้ในระยะยาว และได้พื้นที่แห่งอิสรภาพแห่งใหม่’ กล่าวโดย Satoshi Nakamoto”
ถึงแม้ Bitcoin จะถูกมองว่าเป็นทางเลือกในการเก็บมูลค่าก็จริง แต่ดูเหมือนว่า ในปัจจุบันมันจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการลงทุนมากกว่า เนื่องจากความผันผวนอันรุนแรงของมันทำให้นักเก็งกำไรเข้ามาเล่นในจุดนี้ได้
นอกจากนี้ ถึงแม้ Bitcoin จะยังไม่สามารถทำธุรกรรมได้รวดเร็วเท่ากับ VISA แต่ในอนาคตหาก Protocol อย่าง Lightning Network นั้นพัฒนาจนเสร็จและถูกนำมาใช้จริง มันก็จะสามารถรองรับธุรกรรมและมีความเร็วในการทำธุรกรรมได้สูงถึง 1 ล้านรายการต่อวิธีเลยทีเดียว ซึ่งเทียบกับ VISA ที่ได้แค่หลักหมื่นเท่านั้น
ที่มาภาพ Forbes
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น