ไทยถือเป็นหนึ่งประเทศในโลกที่มีความพร้อมด้านกฎหมายเกี่ยวกับวงการ Blockchain และคริปโตที่ครอบคลุมที่สุดในโลก โดยหน่วยงานหลักที่ดูแลกฎหมายในส่วนนี้คือ ก.ล.ต. ซึ่งล่าสุดได้ออกมาย้ำแล้วว่า พร้อมสำหรับการเทรดแบบดิจิทัลแล้ว โดยการใช้ Blockchain แล้ว
เตรียมรองรับ STO
เมื่อวันที่ 17 เมษายนที่ผ่านมา ไดมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ทำให้กรอบของการทำธุรกรรมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ประเภทต่าง ๆ นั้นกว้างขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ครอบคลุมแค่ตลาดรองเท่านั้น อ้างอิงจากบางกอกโพสต์
นางทิพยสุดา ถาวรามร รองเลขาธิการก.ล.ต. ได้กล่าวว่า การแก้ไขครั้งนี้จะสร้างพื้นฐานด้านกฎหมายที่รองกับแพลตฟอร์ม Tokenisation และเปิดโอกาสให้แนวคิดในการเทรดแบบดิจิทัลมากขึ้น
ก่อนหน้านี้ กฎหมายครอบคลุมการทำธุรกรรมหลักทรัพย์ทั่วไปในตลาดหลักเช่นหุ้น, ตราสารหนี้, กองทุน และ REIT (ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์) และต้องทำเรื่องเอกสารบนกระดาษ การทำธุรกรรมแบบดิจิทัลได้เปิดให้เพียงแค่ตลาดรองเท่านั้น
แต่ว่าด้วยกฎหมายใหม่นี้ การสร้างหุ้นแบบดิจิทัลและแพลตฟอร์มสำหรับการ Tokenise หลักทรัพย์ เช่น STO ที่เป็นการนำหลักทรัพย์มาแปลงเป็นรูปบบดิจิทัล ในตลาดหลักจะสามารถเกิดขึ้นได้
ก่อนหน้านี้ เมื่อกลางปี 2018 ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ก็ได้ประกาศใช้งาน พ.ร.ก. ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งส่งผลต่อวงการ Blockchain และ Cryptocurrency ในไทยเป็นอย่างมาก ทั้งในเรื่องของภาษี, การดำเนินธุรกิจ และการระดมทุน ICO ล้วนถูกครอบคุลมในกฎหมายหมด
พ.ร.ก. ดังกล่าวได้แบ่งธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลออกเป็น 4 แบบได้แก่
- ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
- นายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล
- ผู้ค้าสินทรัพย์ดิจิทัล
- กิจการอื่นที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลตามที่รัฐมนตรีประกาศกําหนดตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการ ก.ล.ต.
ซึ่ง 3 ประเภทแรกต้องมีใบรับรองทางกฎหมายในการดำเนินการทั้งสิ้น และการระดมทุนผ่าน ICO ได้นั้นต้องระดมทุนผ่าน ICO Portal ซึ่ง ICO Portal ก็ต้องได้รับการอนุมัติจาก ก.ล.ต.
เรียกได้ว่า กฎหมายคริปโตในประเทศไทยนั้นล้ำหน้ากว่าประเทศส่วนใหญ่ในโลกมาก ๆ เพราะบางประเทศยังไม่มีการระบุที่แน่ชัดว่า คริปโตนั้นเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิดกฎหมาย การที่ประเทศไทยมีความรุนหน้าด้านกฎหมายนั้นอาจทำให้เรากลายเป็นหนึ่งในผู้นำของกระแสคริปโตและ Blockchain ที่กำลังจะเข้ามาปฎิวัติการใช้ชีวิตทุกวันก็เป็นได้ ซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาจะโฟกัสไปยัง STO ที่เป็นอีกหนึ่งกระแสในวงการอยู่
ขอบคุณภาพจาก Money2know
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น