ข้อมูลจากเว็บไซต์ Cryptobriefing ได้วิเคราะห์เหรียญของ Facebook และได้วิเคราะห์ว่ามันมีความ Centralized เป็นอย่างมากและได้เตือนให้ผู้คนพิจารณาก่อนตัดสินใจใช้งานโดยได้ให้เหตุผลไว้ดังนี้
เมื่อ Facebook ที่เคยออกมาแบนคริปโตเคอร์เรนซีครั้งหนึ่งแต่มาในตอนนี้บริษัทกลับสร้างเหรียญคริปโตของตนเป็นที่เรียบร้อย เมื่อพูดถึงโปรเจ็ค Libra ของ Facebook ซึ่งเป็นโปรเจ็คสร้างเหรียญ stablecoin ของ Facebook ที่ได้มีการดำเนินการมาตลอดปี โดยโปรเจ็คนี้มีชื่อเรียกว่า “โปรเจ็ค Libra”
“Libra ในภาษาละตินนั้นแปลว่าอิสระภาพหรือเสรีภาพ ถ้ายึดตามคำแปลของราศี Libra คือตัวแทนของความยุติธรรม”
ซึ่งจากข้อมูลของเว็บไซต์ดังกล่าวเขาได้วิเคราะห์ว่าโปรเจ็คเหรียญของ Facebook ดูเหมือนไม่ได้สร้างมาด้วยจุดประสงค์เหล่านั้นแต่เพื่อการตลาดมากกว่า พร้อมกระตุ้นให้ผู้คนให้คนตระหนักถึงความ Decentralization มากกว่านี้
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเงินร่วมมือกับ Facebook เพื่อเข้ามาควบคุมภาษีและติดตามการใช้เงินของคุณ
ทาง MasterCard, Visa และ PayPal ได้เข้าร่วมมือกับทาง Facebook โดยแต่ละเจ้าได้ร่วมลงทุนกับ Facebook ด้วยเงินจำนวนกว่าคนละ 10 ล้านดอลลาร์
บริษัทการเงินเหล่านั้นเป็นผู้ครองตลาดและได้สัดส่วนผู้บริโภคไปจำนวนมากโดยเฉพาะ Visa และ Mastercard ซึ่งประมวลผลการทำธุรกรรมทั่วโลก เช่น ในปี 2018 มันมีบัตรเครดิตและเดบิตที่มีแบรนด์ Mastercard กว่า 2.4 พันล้านใบทำรายได้กว่า 14.95 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้จากรายงานของ Wall Street ก็มีทีท่าว่าบริษัทยักษ์ใหญ่จะเพิ่มค่าธรรมเนียม โดย PayPal นั้นเก็บค่าธรรมเนียม 2.9 เปอร์เซ็นต์บวกกับอีก 30 เซ็นต์ต่อธุรกรรม เพราะฉะนั้นสิ่งของที่คุณซื้อจะถูกบวกค่าธรรมเนียมไปเพิ่มอีกประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์
Facebook จะแอบปล่อยข้อมูลของคุณแล้วเอาไปขาย
ทางเว็บไซต์ที่อ้างอิงยังได้มีการกล่าวเตือนถึงคดี Cambridge Analytica ที่ละเมิดข้อมูลผู้ใช้งานกว่า 50 ล้านคนในปีที่แล้ว และเห็นว่ามันเป็นธุรกิจของ Facebook ทั้งรูปของคุณ ข้อมูลส่วนตัวต่าง ๆ ของคุณ Facebook รู้หมดทุกอย่าง ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ควรระมัดระวัง เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะตัดสินใจใช้งานเหรียญเหล่านี้คุณควรพิจารณาดี ๆ
นอกจากนั้นแล้วการใช้เงินของคุณ หรือข้อมูลอื่น ๆ ทั้งตัวตนของคุณ สถานที่ที่คุณไป อาชีพการงานของคุณ และสิ่งที่คุณจะทำต่อไป ซึ่ง Facebook สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้หมด และข้อมูลต่าง ๆ ถูกนำไปใช้วิเคราะห์ทางสถิติด้วย เช่น สถิติของผู้ที่ตกอยู่ในสภาวะหดหู่ซึ่งก็วิเคราะห์ได้ถูกต้องแม่นยำกว่า 70%
แพลตฟอร์มของ Facebook ถูกนำไปใช้ในทางไม่ดีอยู่เยอะมากเช่นกัน ทั้งการเข้าแทรกแซงการเลือกตั้งก็ด้วย และสิ่งที่ Facebook ทำคือออกมาขอโทษ
การสร้างเหรียญคริปโตออกมาและหากอยากให้มีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมากทาง Facebook จะต้องสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจให้เกิดขึ้นเสียก่อน
ตระหนักถึงความ Decentralization
เหรียญคริปโตเคอร์เรนซีและเทคโนโลยี Blockchain ทำงานอยู่บนพื้นฐานของความ Decentralization โดยแนวคิดของ Decentralization คือการที่คนทุกคนบนโลกนี้จะไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาลหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เช่น ธนาคาร บริษัทเทคโนโลยี ซึ่งจริง ๆ แล้ว Decentralization เป็นสิ่งที่อุดมคติ ซึ่งในทางปฏิบัติอาจจะเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียวที่เราจะมีความ Decentalization ได้อย่างเต็มที่ แต่ระดับของการควบคุมข้อมูลส่วนตัวของเรา ตัวตนของเราจะต้องคำนึงถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานด้วย เพราะเรื่องเหล่านี้คือสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของเรา อย่าง Bitcoin ก็ไม่ได้มีคนที่เข้ามาควบคุมมันได้ทั้งผู้ใช้งานก็สามารถใช้จ่ายโดยไม่มีผู้ใดเข้ามาควบคุมได้และนักขุดก็ทำหน้าที่ของตัวเองโดยไม่ต้องถูกใครควบคุม
ซึ่งก็ได้มีการวิเคราะห์ว่าทาง Visa, MasterCard และ PayPal เข้าร่วมกับ Facebook เพื่อเข้าแทรกแซงข้อมูลการใช้เงินของผู้ใช้งาน โปรเจ็ค Libra เป็นเหรียญคริปโตที่ Centralized อย่างแท้จริง และการร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเงินต่าง ๆ ก็เพื่อป้องกันปัญหาด้านกฎหมาย
โดยสรุปคือมีการวิเคราะห์ว่าเหรียญ Libra คือเหรียญที่ Centralized และทาง Facebook สามารถเข้าถึงข้อมูลการใช้เงินของเราได้หมด ซึ่งเราก็เลือกได้ว่าจะยอมใช้เหรียญของ Facebook หรือไม่
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น