ดูเหมือนว่า ในปี 2019 นี้ แบรนด์หรือบริษัทใหญ่ ๆ จะเริ่มให้ความสำคัญกับ Cryptocurrency มากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook ได้เริ่มเดินหน้ากับวงการนี้อย่างเต็มที่ก็เป็นได้
Walmart เดินหน้าลุยวงการคริปโต
ล่าสุด เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีการรายงานว่า Walmart บริษัทยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรม Retail ได้ทำการจดสิทธิบัตรในการสร้างเพื่อสร้าง Cryptocurrency ของพวกเขาเอง ซึ่งผูกกับเงิน Fiat หรือก็คือ Stablecoin นั่นเอง
ดูเหมือนว่า การตัดสินใจนี้จะทำเพื่อที่จะกุมความได้เปรียบเหนือบริษัทคู่แข่งอย่าง Amazon เพราะพวกเขายังไม่ได้ลงมาเล่นในเทรนด์นี้แบบจริง ๆ จัง ๆ
Stablecin นั้นจะเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมออนไลน์ได้ถูกมากขึ้น รวมทั้งเปิดโอกาสให้กับกลุ่มลูกค้าที่ไม่สามารถเข้าถึงบริษัททางการเงินทั่วไปด้วย ซึ่ง Walmart ได้เคลมว่า บัญชีรูปแบบใหม่ที่จะสร้างขึ้นมานี้จะ ‘ไร้ค่าธรรมเนียม’ หรือ ‘มีค่าธรรมเนียมต่ำ’ และจะสามารถได้รับดอกเบี้ยด้วยนั่นเอง
“การใช้งานเงินดิจิทัล จะทำให้ผู้ใช้งานในกลุ่มที่มีรายได้ต่ำ ซึ่งมองว่าบริการของธนาคารนั้นมีราคาแพง มีทางเลือกในการเงินของพวกเขาสำหรับการจัดการใช้จ่ายรายวันและสินค้าที่ต้องการได้”
Walmart นั้นเป็นบริษัทที่มีรายได้เยอะที่สุดในโลกและจ้างงานพนักงานเยอะที่สุดในโลก ซึ่งมีรายได้มากกว่า 500 พันล้านดอลลาร์ (15,346 พันล้านบาท) ในทุก ๆ ปี และมีการจ้างพนักงานกว่า 2.2 ล้านคน (จำนวนเยอะกว่าจำนวนประชากรของบางประเทศ) การตัดสินใจนี้จะส่งผลต่อผู้ใช้งานที่ไม่ได้ใช้บริการธนาคารเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในอุตสาหกรรม Retail ที่กลุ่มฐานลูกค้าใหญ่อยู่แล้ว
นอกจากการสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าของพวกเขา Walmart ก็ตั้งใจที่จะใช้ Cryptocurrency เพื่อเก็บข้อมูลประวัติการซื้อสินค้าของลูกค้าเพื่อที่จะทำให้การวางแผนคลังสินค้า และพฤติกรรมของผู้บริโภคของพวกเขาดีขึ้นไปอีกระดับ ซึ่งโดยภาพรวมแล้วจะส่งผลให้บริษัทมีกำไรมากขึ้นนั่นเอง
ไม่ยอม Amazon
ในตอนนี้ ยักษ์ใหญ่ทั้งสองอย่าง Amazon และ Walmart ก็กำลังต่อสู้กับเพื่อกุมอนาคตของวงการ Retail หรือการค้าปลีก และการที่เจ้าใดเจ้าหนึ่งสามารถดึงประโยชน์ของ Cryptocurrency ออกมาได้ ก็อาจเป็นตัวชี้วัดได้เช่นกันว่าใครจะอยู่เหนือกว่า
เมื่อเดือนสิงหาคมปี 2016 Walmart ได้ทำการซื้อ Jet ในมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อที่จะไล่ตามสัดส่วนตลาด Retail ออนไลน์ของ Amazon ให้ทัน และในปีที่ผ่านมา Walmart ก็ได้ทำการเข้าซื้อ Flipkart เป็นมูลค่า 16 พันล้านดอลลาร์ คู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ Amazon ในอินเดีย
Walmart เองยังมีบริษัทย่อยอย่าง Sam’sClub ที่ได้จับมือกับ Instacart เพื่อทำให้สามารถส่งสินค้าได้ในวันที่สั่งซื้อเลยในเมืองต่าง ๆ ซึ่ง Instacart นี้ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากบริการส่งของออนไลน์ของ Amazon
ทาง Amazon เองก็ไม่ยอมน้อยหน้า ในเดือนมิถุนายน 2017 Amazon ได้ทำการเข้าซื้อ Whole Foods Market เป็นมูลค่า 13.7 พันล้านดอลลาร์ เพื่อเพิ่มสัดส่วน Retail ทั่วไป ในเดือนมกราคม 2018 Amazon ได้ประกาศเปิดตัว Amazon Go ที่เป็นร้านสะดวกซื้อแบบไร้แคชเชียร์ชำระเงิน ตั้งแต่ตอนนั้น Amazon ก็ได้เพิ่มสาขาของบริการ Amazon Go ถึง 12 แห่งแล้ว และวางแผนจะขยายให้ถึง 300 สาขาในสหรัฐฯ ภายใน 2 ปีนี้
เช่นเดียวกับ Amazon ทาง Walmart ก็ไม่ยอมให้ Amazon เข้ามาแย่งสัดส่วนตลาด Retail ทั่วไปได้งา่ย ๆ เนื่องจากพวกเขาได้ยื่นจดสิทธิบัตรสำหรับ “Micromarkets‘ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถเข้าไปซื้อสินค้าในร้านได้เลย และสามารถใช้เครื่อง Kiosk ในการชำระเงินด้วยตัวเองได้เลย และ Walmart Coin ที่กำลังจะถูกสร้างขึ้นนี้จะเป็นตัวผลักดันให้สามารถชำระเงินได้อย่างรวดเร็วใน Micromarkets ของพวกเขา
ในส่วนของ Amazon เมื่อปีที่ผ่านมา พวกเขาได้จดสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับ Blockchain ไปเพียง 2 อย่างเท่านั้น แต่ก็อาจจะมากกว่านี้แล้วก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนักลงทุนจะคาดหวังกับ Amazon มากกว่า เนื่องจากมันมีมูลค่าโดยรวมมากกว่า 923 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับ Walmart ที่มีเพียง 315 พันล้านดอลลาร์
ในทางกลับกัน Walmart ยังมีข้อได้เปรียบหนึ่งอยู่เหลือ Amazon นั่นก็คือพวกเขามีรายได้มากกว่า Amazon ถึง 3 เท่า ซึ่งในจุดนี้เองที่พวกเขาจะสามารถได้ราคาจาก Supplier ที่ถูกกว่า และมีต้นทุนโดยรวมของค่าคลังสินค้าที่ถูกกว่านั่นเอง เนื่องจากซื้อในปริมาณที่มากกว่า
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ทั้งสองยักษ์ใหญ่ต่างกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดในตอนนี้ และการที่อุตสาหกรรม Retail พัฒนาไปก้าวไกลมากกว่า ย่อมส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างเรา ๆ แน่นอน
แผนอันยิ่งใหญ่ในการสร้าง Walmart Coin
ในสิทธิบัตรที่ Walmart เพิ่งยื่นไปนั้น ได้ระบุรายเอียดการใช้งาน Walmart Coin ที่น่าสนใจมาก เช่น แพลตฟอร์มสำหรับฟรีแลนซ์, การกู้ยืมแบบเร่งด่วน, การซื้อเหรียญแบบ Futures และการประมูลหลากหลายทาง
อ้างอิงจากรายละเอียดสิทธิบัตร ได้มีการระบุอธิบายว่า:
“ระบบนิเวศน์ของค่าเงินดิจิทัลนี้สามารถทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มการจ้างงานได้ที่ ลูกค้า, ผู้ที่สนใจในการร่วมระดมทุน หรือคนอื่น ๆ สามารถโพสต์ข้อเสนอต่าง ๆ และประกาศหาคนมาทำงานให้ได้ เช่นการเป็นช่วงซ่อมสิ่งต่าง ๆ, การเดินทางเป็นเพื่อน หรือการจ้างไปซื้อสินค้าให้”
Walmart ยังได้ชี้อีกด้วยว่า ลูกค้าจะสามารถซื้อเหรียญได้แบบ Futures ได้ด้วย ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่เปิดให้ลูกค้าซื้อ Cryptocurrency ของพวกเขาในราคาที่เจาะจงไปเลย ทำให้ราคาของเหรียญนั้นนิ่ง โดยสามารถนำไปซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้แบบไม่ผันผวนนั่นเอง
“นี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่าก็ได้สำหรับลูกค้าในการการันตีอำนาจในการซื้อของพวกเขาดีกว่าการนำเงินไปฝากธนาคาร และในขณะเดียวกันก็เป็นการการันตีให้ผู้ขายรายย่อยด้วยว่าจะได้เงินที่เสถียร”
เหรียญนี้ยังสามารถนำไปใช้ในการกู้เงินระยะสั้นแบบเร่งด่วนได้ด้วย โดยลูกค้าจะ “ไม่ถูกชาร์จค่าดอกเบี้ย” เลยสำหรับการนำไปซื้อสินค้าที่จำเป็นอย่าง อาหาร เป็นต้น
Walmart ยังได้ทำการร่วมมือกับบริการอื่น ๆ ด้วยเช่น เครดิตการ์ด, บัญชีธุรกิจ หรือโปรแกรมช่วยเหลือของรัฐบาล อย่าง WIC และ TANG (โปรแกรมช่วยเหลือด้านอาหารและเงินสดสำหรับคนจน)
นอกจากนี้ Walmart เองยังกล่าวถึงขั้นที่ว่า “สกุลเงินดิจิทัลนี้ อาจจะถูกผูกกับเงินดิจิทัลอื่น ๆ ได้” เช่น Bitcoin และที่น่าสนใจคือ Cryptocurrency นี้จะไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน Fiat แต่จะซื้อได้ด้วย Bitcoin
ความกังวลเรื่องความเป็นส่วนตัว
แน่นอนว่า อีกเรื่องที่หลาย ๆ คนคงเริ่มเพิ่งเล็ง Cryptocurrency แล้วก็คือ ประเด็นของความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานนั่นเอง ซึ่ง Walmart ก็ได้ระบุอย่างชัดเจนเลยว่า ตั้งใจที่จะเก็บข้อมูลประวัติการชำระเงินของผู้ใช้งาน เพื่อที่จะทำไปพัฒนาการวางแผนคลังสินค้าและทำนายพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น:
“เงินดิจิทัลนี้อาจต้องมีการยืนยันตัวเอง ผู้คนที่ใช้งานมันจะทำหน้าที่เป็นเหมือน ‘เครดิตการ์ด’ สำหรับการเข้าถึงธนาคารดิจิทัลของพวกเขา”
ในตอนนี้ ลูกค้าจำนวนมากของ Walmart ก็ได้ใช้งานบริการด้านการเงินของพวกเขาอยู่ ด้วย Money Centers ของพวกเขาที่ให้บริการเครดิตการ์ด, การส่งเงิน, การเข้าเช็ค, การโอนเงิน, การชำระบิล และบริการอื่น ๆ อีกมากมาย การเพิ่ม Cryptocurrency เข้าไปรวมจะทำให้ Walmart มีบทบาทในการเงินของลูกค้าพวกเขามากขึ้นอีกระดับ
อย่างไรก็ตาม การที่ปล่อยให้ข้อมูลที่สำคัญขึ้นอยู่กับบริษัทหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งอาจไม่ใช่ไอเดียที่ดีเท่าไรนัก เพราะบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook เองก็เคยมีประวัติการรั่วไหลของข้อมูลหลายครั้งในอดีตแล้วเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลง Walmart ครั้งสำคัญ
ในปี 2018 Walmart นั้นมีลูกค้าในแต่ละสัปดาห์มากกว่า 275 ล้านคน โดยปริมาณการใช้เครดิตการ์ดในการทำธุรกรรมนั้นมีมากถึง 2 เปอร์เซ็นต์ ถ้าพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า ซุปเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่มี Net Margins ที่ 1.2 ถึง 4.0 เปอร์เซ็นต์ ค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมของพวกกเขาก็จะถือว่าเป็นกำไรสุทธิในอัตราส่วนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว
“เงินดิจิทัลอาจทำการลบล้างบัตรเครดิตหรือเดบิตให้หายออกไปเลยก็ได้ เพราะไม่จำเป็นต้องใช้เงินสดอีกต่อไป แต่ผู้ใช้งานหันไปใช้ค่าเงินดิจิทัลในระบบ Blockchain แทน”
ในปี 2018 ที่ผ่านมา Walmart มี Net Sales ที่ 500 ล้านดอลลาร์ และแบบสำรวจอันหนึ่ง ก็ได้ปริมาณว่า 23 เปอร์เซ็นต์ของการทำธุรกรรมที่ร้านขายของชำนั้นทำด้วยบัตรเครดิตเป็นจำนวน 23 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้เอง Walmart Coin มีศักยภาพที่จะลดค่าใช้จ่ายของ Walmart ได้ถึงปีละ 2.3 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งคิดเป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้ถึง 22 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา นาย Kory Hoang CEO ของ Stably บริษัทด้าน Stablecoin ได้ทำนายว่า ยุคของ Stablecoin จากองค์กรต่าง ๆ ได้เริ่มขึ้นแล้ว:
“ยุคของ Stablecoin ขององค์กรต่าง ๆ ได้เริ่มขึ้นแล้ว! ผู้คนจะได้เห็นเหรียญ Stablecoin ของบริษัทอย่าง Amazon, Costco หรือ T-Mobile ภายใน 2 ปีนี้”
เขาได้อธิบายต่อด้วยว่า ธนาคารนั้นเริ่มมีความสำคัญที่น้อยลงเรื่อย ๆ:
“ในตอนนี้บริษัทใหญ่ ๆ ต่างก็เริ่มมองเห็นกันอย่างเงียบ ๆ แล้วว่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องสร้าง Stablecoin ของพวกเขาเอง และตีตัวออกห่างจากธนาคาร”
หากเป็นจริง ในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้านี้ วงการ Cryptocurrency และ Blockchain อาจจะเติบโตแบบก้าวกระโดดเลยก็ได้ เพราะการที่แบรนด์ใหญ่ ๆ ซึ่งมีลูกค้าหลายร้อยล้านคนทั่วโลกหันมาใช้ Cryptocurrency ไม่ว่าจะเป็น Stablecoin หรืออะไรก็ตาม จะทำให้ผู้คนรับรู้และไว้ใจ Cryptocurrency มากขึ้น ซึ่งจะเป็นอีกก้าวที่ทำให้ทั้งวงการและตลาดคริปโตเดินหน้าต่อไปสู่การปฏิวัติชีวิตคนทั้งโลก
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น