ภาพรวมของข่าว
- ช่อง Telegram ตรวจพบข้อมูล KYC ที่คาดว่ารั่วไหลมาจาก Binance
- Binance ยืนยันว่ารูปไม่สอดคล้องกับข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในระบบเพราะไม่มีตราสัญลักษณ์ของ Binance
- Binance ออกประกาศเป็นทางการว่าการรั่วไหลนั้นไม่ถูกต้อง
ช่อง Telegram มีข้อมูลเกี่ยวกับ KYC ซึ่งรวมถึงรูปภาพ, passport, บัตรประชาชนซึ่งอ้างว่าเป็นของผู้ใช้งาน Binance จึงได้มีผู้ติดต่อไปยัง Binance เพื่อขอคำยืนยันว่าข้อมูลเหล่านั้นรั่วไหลออกมาจากภายในบริษัทเองหรือมีผู้เจาะข้อมูลเข้าไปหรือไม่อย่างไร
ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ Binance เลยตอบกลับมาว่า:
“มันมีความไม่สอดคล้องกันเมื่อเปรียบเทียบข้อมูลนี้กับข้อมูลในระบบของเรา ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่ารูปภาพ KYC เหล่านั้นรั่วไหลมาจาก Binance เนื่องจากภาพเหล่านี้ไม่มีลายน้ำดิจิตอลของระบบเรา”
“ทางทีมงานของเราพยายามอย่างเต็มที่เพื่อหาต้นตอของภาพเหล่านั้นแต่ในตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าภาพข้อมูลการทำ KYC นั้นมาจากที่ใด”
ทาง CEO นาย Changpeng Zhao (CZ) ก็ได้ออกมาโพสต์ทวิตเตอร์ด้วยว่า “อย่าเพิ่งหลงเชื่อกับข่าวลือที่ว่าทางเราเป็นคนปล่อยภาพข้อมูล KYC เหล่านั้น พวกเรากำลังสืบหาอยู่และจะออกมาบอกกล่าวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้”
หลังจากนั้นทาง Binance ก็ได้ออกมาประกาศเกี่ยวกับการรั่วไหลนั้นว่าเป็นข่าวปลอม “มีบุคคลกำลังคุกคามเรา เขาต้องการ 300 BTC แลกกับรูปข้อมูล 10,000 รูปที่มีความคล้ายคลึงกับรูป KYC ผู้ใช้งานของ Binance”
Binance ยังกล่าวอีกด้วยว่าข้อมูลเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นข้อมูลตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 ตอนนั้นที่ทางบริษัททำสัญญากับผู้ให้บริการที่เป็นบุคคลที่ 3 เพื่อยืนยัน KYC ในตอนนั้นซึ่งทางบริษัทก็กำลังติดต่อไปยังผู้ให้บริการรายนี้เพื่อขอรายละเอียดเพิ่มเติม
ทาง Binance เองจะให้รางวัล 25 BTC ด้วยสำหรับผู้ที่หาได้ว่าใครเป็นผู้กระทำการเช่นนี้กับ Binance
ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีข่าวข้อมูลรั่วไหลออกมา ในช่วงต้นปีก็มีรายงานออกมาว่าผู้ให้บริการในเว็บมืดได้ขายข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานไปกว่า 100,000 รายเพื่อให้ผู้ซื้อนำไปใช้สำหรับการ KYC ในเว็บเทรดหลาย ๆ แห่งซึ่งรวมถึง Binance ด้วย
Binance ยืนยันว่ากำลังทำการตรวจสอบและข้อมูลที่รั่วไหลนั้นไม่ได้มาจากทาง Binance แน่นอน ในช่วงหลายเดือนมานี้ Binance รุดหาพาร์ทเนอร์ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ด้านการสืบสวนและการดำเนินการตามกฎหมาย เช่น IdentityMind, Chainalysis, Elliptic และ Refinitiv ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจของ Thomson Reuters
อ้างอิง theblockcrypto
กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น