<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Bitkub กับ Satang Pro กับสงครามที่จบลงด้วยความรักระหว่างพี่กับน้อง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ดูเหมือนว่าหลังจากที่ Bx ปิดตัวลงไป ตลาด Exchange ก็เดือดระอุ เกิดการดราม่าเล็กน้อยในเรื่องของการแย่งชิงลูกค้าระหว่าง Bitkub และ Satang Pro

หลังจากที่ทางลูกค้าเริ่มแสดงความไม่พอใจที่ Bitkub นั้นมีการทำ KYC ที่ค่อนข้างนาน จึงเลือกหันไปใช้บริการกับทาง Satang ทางเราจึงได้ทำการสัมภาษณ์ไปยังคุณต้นผู้ก่อตั้ง Bitkub ถึงปัญหาเหล่านี้ ซึ่งทาง Bitkub เองก็ได้ออกมาประกาศอธิบายถึงการทำ KYC ที่ค่อนข้างนานนี้ด้วยเช่นกัน

นายสกลกรย์ สระกวี หรือ คุณต้น ผู้ร่วมก่อตั้ง Bitkub ก็ได้ออกมากล่าวว่าที่ทำ KYC ช้าเพราะ Bitkub ไม่อยากถูกปิด เน้นช้าแต่ชัวร์ดีกว่าพร้อมเพิ่มทีมงานดูแลลูกค้าอีกสิบเท่าด้วย ส่วนสาเหตุของการปิดตัวของ Bx นั้นไม่มีใครทราบแน่ชัดแต่ส่วนตัวผมเชื่อว่า”น่าจะเกี่ยวข้องกับทางการ” เพราะ Bx นั้นก็เปิดตัวมานานแ้ลวและมีลูกค้าเพิ่มเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ พอหน่วยงานเข้ามากำกับก็อาจทำให้มีปัญหารับมือกับลูกค้าที่เข้ามาเป็นจำนวนมาก

เมื่อ Bx ปิดตัวลงไปแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่ก็หันไปสมัครที่ Bitkub ทันที ซึ่งลูกค้านั้นก็มาสมัครกันเป็นจำนวนมาก กระนั้นเองเพราะ Bitkub ไม่ได้มีการทำ KYC แบบทันใจของผู้ใช้งานหลาย ๆ คน บางรายจึงเริ่มหันไปสมัคร Satang Pro แทน

“พูดตรง ๆ ว่าส้มหล่นลง Bitkub เต็ม ๆ ก็น่าจะเป็นเบอร์สองนะ แต่ก็น่าจะเสียลูกค้าไปให้กับเบอร์สามพอสมควรเพราะเราเลือกที่จะช้าแต่ชัวร์ ไม่อยากรับลูกค้ามั่วซั่ว ทางเราจึงทำการเช็คหลายรอบมาก ทั้ง recheck และ rejected เพราะเราไม่อยากเจอปัญหาเดียวกับที่ Bx เจอซึ่งอาจจะทำให้ถึงขั้นโดนปิดได้”

“หลาย ๆ คนบอกทำไม Bitkub ไม่รีบรับลูกค้า ผมขอเลือกรับลูกค้าที่โอเคเตรียมวางระบบที่ดีพร้อม กรองคนดี ๆ เข้ามาในตลาด Crypto ดีกว่าให้พวกที่หวังเข้ามาใช้เพื่อฟอกเงินและทำทุจริตผิดกฎหมาย”

คุณต้นกล่าวพร้อมย้ำว่ากฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินนั้นมีโทษหนัก

ส่วนสาเหตุที่ Bitkub มีขั้นตอน KYC ที่ค่อนข้างล่าช้าคุณต้นได้เผยว่า

“เพราะระบบการกรองคนที่ยุ่งยากตั้งแต่ต้นเพราะกลัวโจรและคนไม่ดีเข้ามา และที่สำคัญเรามีระบบป้องกันความเสี่ยงให้ลูกค้าซึ่งก็คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะส้มหล่นแบบนี้ แล้วก็ส่งระบบ Filing ให้กับทาง ก.ล.ต. ไปแบบรัดกุมทำให้พอมีคนเข้ามาเท่าสนามกีฬาฟุตบอลจึงมี Process การตรวจสอบที่นานกว่าที่อื่นครับ แต่ตอนนี้ก็เคลียร์จนใกล้จะหมดถึงวันที่ 7 ครับ ส่วนใครที่ยังค้างอยู่วันที่ 2,3 เป็นเพราะข้อมูลของคุณโดน reject เพราะรูปไม่ชัดหรือข้อมูลที่ให้มาไม่ตรงก็เลยยังค้างอยู่ครับ”

อย่างไรก็ตามปัญหาของการทำ KYC ล่าช้ามันก็ทำให้ Bitkub นั้นเสียฐานลูกค้าไปได้ ทางเราจึงได้สอบถามไปว่า Bitkub นั้นมีวิธีการแก้ปัญหาอย่างไร รวมถึงการนำ AI เข้ามาช่วยนั้นแก้ปัญหาประเด็นนี้ได้หรือไม่

“แก้ปัญหาได้เยอะมาก ๆ ครับ กำลังทดสอบระบบ AI ช่วยตรวจเอกสารแล้ว แต่ขั้นตอนสุดท้ายต้องใช้คนครับ เพื่อความชัวร์ แต่จะลดงานเหล่านี้ไปได้มากถึง 70% อย่างที่บอกไปว่าเราไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนจะมากันเยอะขนาดนี้ ตอนนี้ถือว่าพลิกวิกฤตเป็นโอกาส พัฒนาระบบรองรับอนาคตไปได้เลยครับ”

และเมื่อทางสยามบล็อกเชนถามถึงว่าทางคุณต้นคิดว่าใครเป็นเบอร์หนึ่งที่แท้จริง คุณต้นก็ยังคงยืนยันว่าเป็น Bx

“ยังไงผมก็ยกให้ BX นะครับ อันดับหนึ่งในใจ เพราะผมก็โตมากับ BX ถึงแม้ว่าจะเป็นคู่แข่งทางธุรกิจ แต่ก็เคารพเค้าครับ ก็ขอให้โชคดีกับธุรกิจใหม่ครับ”

อย่างไรก็ตามทางผู้บริหาร Satang Pro นาย ปรมินทร์ อินโสมนั้นก็ได้โพสต์ออกมาแสดงความไม่พอใจถึงการที่ Bitkub (เหมือนว่า) จะใช้ทิศทางการทำการตลาดที่กระทบเว็บเทรดของเขา แต่กระนั้นเองทั้งสองก็ไม่ได้มีการสาดโคลนใส่กันแต่อย่างใด แม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้างเล็กน้อยเพราะสภาพตลาดในตอนนี้ที่ค่อนข้างจะกดดัน แต่ทั้งคู่ก็พร้อมจับมือพัฒนาเว็บเทรดไทยไปด้วยกัน

ความเห็นฝั่ง Satang Pro

หลังจากที่ได้สัมภาษณ์กับทาง Bitkub ไปแล้วนั้น ทางสยามบล็อกเชนก็ได้ติดต่อไปยังคุณปรมินทร์ อินโสมหรือคุณหนึ่ง ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Satang Pro ถึงระบบและข้อได้เปรียบของทางเว็บ

ทางคุณหนึ่งก็ได้เปิดเผยถึงข้อได้เปรียบและระบบ KYC ของทางเว็บเทรดตนเองว่า:

“ในส่วนระบบ KYC ของสตางค์มีการปรับปรุงตลอดเวลาเพื่อให้สอดคล้องตามความต้องการของผู้บังคับใช้กฎหมายที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเช่นกัน ในส่วนของคำถามที่ว่า ทำยังไงถึงเร็วกว่า ผมต้องตอบว่า ข้อดีของสตางค์จะเป็นในเรื่องของการที่อำนวยความสะดวกทั้งลูกค้า และพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการทำ KYC ที่เราออกแบบระบบมาให้รองรับการทำงานขนาดใหญ่ได้โดยไม่ได้รับผลกระทบ(ไม่ล่ม) อีกทั้งการพยายามป้องกันการกรอกข้อมูลผิดให้ได้มากที่สุดจากฝั่งลูกค้า และการแจ้งเตือนลูกค้าโดยระบุเหตุผลการปฎิเสธการทำ KYC ที่เป็นระบบหลังบ้าน

นอกจากนั้นยังมีระบบที่ทำงานอัตโนมัติ ที่สามารถคัดลูกค้าและทำการปฎิเสธแบบอัตโนมัติ เพื่อลดจำนวนงานภายในหลังบ้านให้ได้มากที่สุด จึงทำให้เราสามารถทำการรับรองจำนวนลูกค้าจำนวนมากได้ ปัจจุบัน สตางค์กำลังพัฒนาระบบให้มีความเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้นในอนาคตโดยใช้ในส่วนของการเทคนิคในส่วนของ Machine Leaning และ Deep Learning เข้ามาเพื่อให้ผู้ใช้งานระบบของสตางค์มีความสุขในการใช้สตางค์มากขึ้นไปอีกในอนาคต

ในอีกส่วนจะเป็นในเรื่องของ CDD ที่เราแยกออกมาต่างหาก ลูกค้าสามารถทำได้หลังจากที่ผ่านการ KYC ไปเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ขบวนการทำงานของสตางค์รวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็ตอบโจทย์ของผู้บังคับใช้กฎหมายด้วย เรียกได้ว่าเป็นการบาลานซ์ทั้งสามขา ไม่ว่าจะเป็น ผู้บังคับใช้กฎหมาย พนักงานที่ตรวจ KYC และ CDD ของสตางค์ และสุดท้ายผู้ใช้งานระบบของสตางค์ ในส่วนของความปลอดภัย ต้องบอกว่า สตางค์เป็นเจ้าเดียวที่ได้รับมาตฐาน ISO 27001 ที่เป็นมาตฐานการรักษาความปลอดภัยระบบสารสนเทศระดับโลก ทำให้มั่นใจได้ว่า การเก็บรักษาข้อมูลลูกค้าเป็นไปตามมาตฐานสากล ไม่ใช่แค่ตามกฎหมายในประเทศไทยเท่านั้น”

เมื่อได้ฟังคำตอบเช่นนั้นก็ได้คลายข้อสงสัยของผู้คนไปแล้วว่าเพราะเหตุใดทางสตางค์จึงได้มีการยืนยัน KYC ที่เร็วกว่าของคู่แข่ง พร้อมกันทั้งทางสตางค์ก็ได้ออกมายืนยันว่าระบบ KYC ของสตางค์นั้นมีความปลอดภัยและพร้อมที่จะร่วมมือกับทางฝ่ายกฎหมาย

“เราทำตามทุกอย่างที่ กลต. ร้องขอมาครับ หาก ก.ล.ต. ต้องการจะให้สตางค์ปรับตรงไหน ก.ล.ต. ก็จะบอกเพิ่มเติมครับ และทางเราก็พร้อมที่จะร่วมมือกับ ก.ล.ต. เพื่อพัฒนาให้การทำ KYC มีประสิทธิภาพและถูกต้องตามกฎหมายอย่างครบถ้วน”

ส่วนทางด้านกระบวนการทำ KYC นั้นทางสตางค์ก็ได้เผยระบบการทำงานของทางเว็บคือหลังจากที่ได้กรองข้อมูลลูกค้าที่เว็บไซต์แล้วก็จะมีการตรวจสอบข้อมูลบัตรประชาชนกับหน่วยงานของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นกรมการปกครองหรือสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินแบบทันทีโดยมีระบบภายในที่ทำให้การตรวจสอบสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นหลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบแล้ว ทางสตางค์ก็จะแจ้งผลให้ลูกค้าทราบผ่านทางอีเมลล์หรือ SMS

อย่างไรก็ตามทาง Satang Pro ก็ถูกผู้ใช้งานแสดงความเห็นว่าสภาพคล่องของทางเว็บยังน้อย เราจึงได้สอบถามไปว่าทางได้วางแผนจะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไรบ้าง ซึ่งคุณหนึ่งก็ได้ให้คำตอบว่า:

“เราได้แก้ไขไปนานแล้วน่ะครับ โดยการติดต่อและทำข้อตกลงกับบริษัทที่ดำเนินการในเรื่องของสภาพคล่องมาช่วยปัญหาข้อนี้ จึงมั่นใจได้ครับว่า เรื่องสภาพคล่องบนเว็บ ไม่น่าจะเป็นปัญหาสำหรับนักลงทุนครับ รวมถึงเปิด API ที่ให้ใครมาต่อก็ได้น่ะครับ”

กลับมาดีกัน

ภายหลังจากที่มีการกระทบกระทั่งกันเมื่อเช้าจากทั้งสองฝ่าย ล่าสุดนั้นดูเหมือนว่าพวกเขาจะกลับมาปรองดองกันแล้ว พร้อมสัญญาว่าจะช่วยกัน ‘จับมือแล้วสู้ไปด้วยกัน’

พร้อมกับการกล่าวขอโทษของทาง Bitkub ที่ได้พูดกระทบ Satang Pro

ซึ่งทางนายปรมินทร์นั้นก็ไม่ได้ติดใจพร้อมโพสต์ว่าทั้ง Satang Pro และ  Bitkub นั้นจะต้องจับมือสู้ไปด้วยกัน

ทั้งสองเว็บไซต์นี้ก็เป็นของคนไทยแบบ 100% และท่ามกลางการถูกบริษัทต่างชาติเป็นจำนวนมากเข้ามาทำธุรกิจจนทำให้คนไทยต้องเสียเปรียบนั้น การปรองดองระหว่าง Bitkub และ Satang Pro จึงเป็นเรื่องที่สมควรอย่างยิ่ง เพราะว่าพวกเขาจำเป็นที่จะต้องพิสูจน์อะไรหลาย ๆ อย่างกันอีกยาว

หมายเหตุ: นายปรมินทร์ อินโสม และบริษัท Bitkub Capital Group Holdings Co.,Ltd. เป็นผู้ถือหุ้นของสยามบล็อกเชน

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น