<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ประธานธนาคารกลางยุโรปกล่าวคริปโตนั้นไม่เหมาะใช้แทนเงิน แต่ Libra ของ Facebook อาจใช้ได้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ประธานของธนาคารแห่งทวีปยุโรป (European Central Bank) นาย Mario Draghi ได้ออกมาเปิดเผยความคิดเห็นต่อเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีและ stablecoin ว่ารูปแบบของเหรียญเหล่านี้มันไม่สามารถนำมาใช้แทนเงินได้

นอกจากนี้เขายังได้กล่าวในจดหมายด้วยว่าทั้งเขาและ ESCB (European System of Central Banks) จะคอยสังเกตตลาดคริปโตเคอร์เรนซีโดยภาพรวม เพื่อพิจารณาถึงการกำกับดูแลเทคโนโลยีเหล่านี้ให้สอดคล้องกับนโยบายทางการเงิน โครงสร้างพื้นฐานของตลาด ความมั่นคงทางการเงินและการชำระเงิน

ในทัศนคติของนาย Draghi มองว่าเหรียญคริปโตนั้นมันมีกรณีการใช้งานที่ค่อนข้างจำกัดและไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้แทนเงินอย่าง USD หรือ Euro

แต่เทคโนโลยีมันเปลี่ยนแปลงและเติบโตอย่างรวดเร็ว เขาได้พูดถึงเหรียญ Libra ที่พัฒนาโดย Facebook ด้วยว่ามันมีศักยภาพเพียงพอที่จะถูกนำไปใช้ทั่วโลกตั้งแต่ระดับร้านค้าปลีกขึ้นไป

ทาง ESCB และเขาจึงมองหาโอกาสและอุปสรรคที่จะสร้างเหรียญดิจิทัลของเงินยูโรขึ้นมา ซึ่งเขากล่าวว่าข้อท้าทายที่สำคัญมันไม่ใช่ปัญหาด้านเทคโนโลยีแต่มันเป็นปัญหาเรื่องการใช้งาน มันคุ้มค่ากับต้นทุนไหมหากเปลี่ยนไปใช้เงินดิจิทัล หรือมันอาจจะไม่เหมาะในการใช้งานเลยเมื่อเทียบกับเงินปกติของเรา

เหรียญ stablecoin

Stablecoin ก็คือเหรียญคริปโตอีกรูปแบบหนึ่งแต่มีความผันผวนน้อยและจะถูกหนุนด้วยสกุลเงินเฟียตต่าง ๆ ซึ่งมันจะมีความผันผวนในมูลค่าน้อยกว่าเมื่อเทียบกับ Bitcoin

แม้ว่าเหรียญเหล่านี้มันจะมีความรวมศูนย์มากกว่าเหรียญคริปโตทั่วไป แต่มันก็สามารถสร้างให้เป็น Decentralized ได้เช่นกันโดยสร้างผ่านทาง decentralized vaults

กลุ่มประเทศ G7 และผู้ว่าการธนาคารกลางก็ได้ตกลงที่จะประชุมกันในเดือนกรกฎาคมเพื่อหารือเกี่ยวกับเทคโนโลยีคริปโตและระบบต่าง ๆ ที่ควรพิจารณา ทั้งประเด็นด้านกฎหมายและนโยบายก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาในอุตสาหกรรม

ทางด้านสมาชิกคณะกรรมการบริหารของ ECB คุณ Benoit Coeure ก็ได้ออกมากล่าวถึงข้อกังวลว่า stablecoin เสี่ยงที่จะถูกนำไปใช้ในการก่อการร้ายทางการเงินได้

อย่างไรก็ตามเขาก็มองว่า stablecoin ก็คืออีกหนึ่งผลผลิตด้านเทคโนโลยีที่พัฒนาไปของโลกโลกาภิวัฒน์ ความต้องการของคนเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย

เขามองว่าเหรียญ Libra นี้เหมือนเข้ามาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้สร้างนโยบายและธนาคารหันมาพิจารณาเทคโนโลยีมากขึ้นซึ่งเป็นข้อท้าทายแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งพวกเขาจะต้องหาทางคิดค้นสิ่งที่เหมาะสมมากำกับดูแลให้ได้

ที่มา : bitcoinexchangeguide

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น