<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

อนาคตสงครามเว็บเทรด Bitcoin ในไทยจะเป็นอย่างไร บริการที่ดี VS การเป็นเบอร์ 1 อะไรสำคัญกว่ากัน

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

การซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในโลกทุกวันนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก กระดานเทรดแต่ละแห่งต่างต้องก็เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการของตนเพื่อดึงดูดลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ ซึ่งในตอนนี้ตลาดเว็บเทรดคริปโตเคอร์เรนซีในไทยที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการก็มีทั้งหมด 4 แห่งแล้วด้วยกัน หากไม่นับรวม BX ที่ได้ปิดตัวลงไปแล้ว ซึ่งประกอบไปด้วย Bitkub, Satang Pro, BiTherb และ Huobi ซึ่งกระดานเทรดที่ให้บริการอยู่ในตอนนี้ก็มี Bitkub และ Satang Pro

ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดนี้แน่นอนว่าทุกคนต่างต้องการที่จะเป็นผู้ชนะ ซึ่งมันก็จะส่งผลดีกับผู้บริโภค เมื่อผู้ให้บริการแข่งขันกันที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนให้ดีกว่าอีกฝ่าย แน่นอนว่าผู้ให้บริการจะต้องสรรหาสิ่งที่ดึงดูดใจให้ผู้บริโภคเข้ามาใช้บริการคนที่ได้รับประโยชน์เต็ม ๆ เลยก็คือผู้บริโภคเพราะผู้บริโภคจะได้เห็นบริการที่หลากหลายมากขึ้นกว่าเดิม 

การแข่งขันปัจจุบันไม้ตายคือฟีเจอร์? 

ในปัจจุบันมี 4 เว็บเทรดที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยแต่มีเพียง 2 เว็บเทรดเท่านั้นที่เปิดให้บริการอยู่ ณ ขณะนี้ซึ่งเราก็จะมาวิเคราะห์เฉพาะ Bitkub และ Satang Pro ที่เปิดให้บริการอยู่กัน

ฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดของ Bitkub

ในแง่ของฟีเจอร์หลักต่างฝ่ายต่างก็มีลูกเล่นเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใครให้ผู้บริโภคได้เลือกใช้กัน ของทาง Bitkub เราจะเห็นว่ามีลูกเล่นการเพิ่มไลน์แอดแจ้งเตือนการทำธุรกรรม ส่วนของ Satang Pro นั้นเพิ่มบริการโอนไว ถอนไวระดับวินาทีเข้ามา 

เมื่อลองดูวอลุ่มในขณะที่เขียนบทความนี้อยู่เราจะเห็นได้ว่าวอลุ่มเทรดใน 24 ชั่วโมงของทาง Satang Pro นั้นอยู่ที่ 10.6092 BTC ส่วนของทาง Bitkub นั้นอยู่ที่ 95.31238422 BTC เมื่อเปรียบเทียบกันที่วอลุ่มก็จะเห็นได้ว่าผู้บริโภคนั้นเลือกใช้บริการของทาง Bitkub มากกว่า

ส่วนของทาง Huobi ก็ยังคงมีแต่กระดานเทรดของ HuobiGlobal อยู่เท่านั้น ยังไม่มีหน้าเว็บเทรดสำหรับของไทย แต่ก็ได้มีการเปิดเพจ Facebook ของ Huobi Thailand เป็นที่เรียบร้อย 

ซึ่งเมื่อดูจากวอลุ่มการซื้อขายในเวลาที่เขียนบทความนี้ของ HuobiGlobal นั้นอยู่ที่ 19,301 BTC ซึ่งหากเว็บเทรด Huobi เข้ามาเปิดบริการในไทย หากมองภายนอกดูเหมือนว่าเว็บเทรด Huobi เป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขามต่อ Bitkub และ Satang Pro แต่หากมองอีกแง่จะพบว่าการทำตลาดไทยนั้นไม่ง่าย ไม่ว่าจะเป็นทั้งของเรื่องข้อกฎหมาย, จำนวนผู้ใช้งานที่จำกัดแค่เฉพาะในไทย, ภาพลักษณ์ของคริปโตและอื่น ๆ อีกมากมาย 

ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่าการมาของ Huobi Thailand จะสามารถสร้างผลกระทบต่อทั้ง Bitkub และ Satang Pro ได้อย่างมีนัยยะสำคัญ

บรรยากาศคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทยอาจมองได้ว่ารัฐบาลนั้นเปิดกว้างต่อเทคโนโลยีมากพอสมควร เมื่อกฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยมีความเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน มันอาจยิ่งทำให้บริษัทด้านคริปโตหลาย ๆ แห่งจากต่างประเทศอยากเข้ามาเปิดบริการของตนในไทย ซึ่งนี่ยิ่งเป็นจุดที่ทำให้เว็บเทรดของไทยต้องเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนให้ดีขึ้นและจุดนั้นเองที่จะส่งผลดีต่อผู้บริโภคอย่างเรา 

อย่างไรก็ตามในแง่ของผู้บริโภคสิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาคือการที่สามารถนำเงินเข้าไปในเว็บเทรด, ทำกำไร, และนำเงินออกมาได้อย่างรวดเร็วที่สุด ดังนั้นไม่ว่าจะฟีเจอร์อะไรก็ตามหากแต่ละเว็บไม่สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้ผู้บริโภคก็อาจจะยังคงเฟ้นหาเว็บเทรดในดวงใจของพวกเขาต่อไปเรื่อย ๆ 

แข่งกันเป็นเบอร์หนึ่ง จริง ๆ แล้วใครได้ใครเสีย?

ก่อนหน้านี้ทางผู้ก่อตั้ง Bitkub และ Satang Pro ได้มีปมขัดแย้งในเรื่องของการแย่งฐานลูกค้าระหว่างกันหลังจากที่ BX ปิดตัวลงไปเพราะต่างก็ต้องการที่จะยืนหนึ่งในตลาดเว็บเทรดคริปโตในไทยจนมีการกระทบกระทั่งกันในทางส่วนตัวแต่ภายหลังก็จบกันได้ด้วยดี

บางคนมองว่าการที่ทั้งสองเว็บเทรดแข่งกันถือเป็นเรื่องดีเพราะทั้งสองจะได้ผลักดันพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาและประโยชน์นั้นก็จะตกอยู่กับผู้บริโภค 

แต่ก็มีบางคนที่มองว่าการดราม่าจะไม่ส่งผลดีกับอุตสาหกรรมในวงกว้างเนื่องจากการสาดโคลนใส่กันจะทำให้ต่างฝ่ายต่างโฟกัสไปที่การแก้แค้นมากกว่าการเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ผู้บริโภค 

เมื่อถึงจุดนี้หากเราพิจารณากันตรง ๆ ยังไม่มีบริษัทสตาร์ทอัพด้านฟินเทคสัญชาติไทยบริษัทไหนที่เป็นยูนิคอร์นเลยแม้แต่บริษัทเดียว (บริษัทสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ) ดังนั้นการทะเลาะและดราม่าเพื่อแย่งชิงความเป็น 1 นั้นอาจทำให้ผู้บริโภคเกิดความเอือมระอาและบริษัทต่างชาติก็จะเข้ามาชุบมือเปิปแย่งชิงบัลลังก์ที่ 1 ไป 

โดยหากจากสรุปนั้นผู้ที่ได้ประโยชน์จริง ๆ ในระยะยาวแม้ว่าจะเป็นผู้บริโภค (ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้ว) แต่เราคงจะไม่ได้เห็นบริษัทที่มีคนไทยเป็นเจ้าของร้อยเปอร์เซ็นต์ได้แจ้งเกิดได้อย่างง่าย ๆ หากยังคงต่อสู้กันด้วยการสาดโคลนกัน และก็คงจะได้เห็นหนังม้วนเดิมที่บริษัทต่างชาติเข้ามากวาดเอาผลประโยชน์ในไทยกลับบ้านโดยไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว

กดคลิกเพื่อแสดงความเห็น