ปัจจุบันอเมริกากำลังอยู่ในช่วงระหว่างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ขบวนการ #BlackLivesMatter ได้กระตุ้นให้เกิดการประท้วงใน 145+ เมืองทั่วโลก เด็กและผู้ใหญ่จากทุกเชื้อชาติทุกเพศและทุกวัยได้ออกมาตามท้องถนนในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อร่วมส่งเสียงต่อต้านความอยุติธรรม , ความโหดร้ายของตำรวจและการเลือกปฏิบัติของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เมื่อการประท้วงอย่างสันติเริ่มทวีความรุนแรงไปสู่การจลาจลจึงเห็นได้ว่า ผู้คนไม่เพียง แต่เสียใจกับการเหยียดสีผิว แต่พวกเขายังเบื่อหน่ายกับการใช้อำนาจในทางที่ผิดซึ่งแพร่กระจายไปทั่วสังคมทุกยุคสมัยใหม่ และปัญหาที่แพร่หลายเมื่อเร็ว ๆ นี้ทั้งหมดเป็นเพียงแค่ส่วนเล็ก ๆ เท่านั้น
ชุมชนต่อต้านเผด็จการแห่งหนึ่งเริ่มลุกฮือแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและต่างออกมาทวีตกันว่า “Bitcoin นั้นเป็นการประท้วงอย่างสันติ”
นับตั้งแต่การก่อตั้ง Bitcoin ขึ้นเมื่อ 11 ปีที่แล้ว ปัจจุบันเริ่มมีผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการเลือกที่จะไม่ใช้ระบบการเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งเป็นแหล่งอำนาจจากหน่วยงานของรัฐบาล พวกเขากำลังเปลี่ยนไปใช้ระบบการเงินแบบใหม่ที่ไม่ได้ถูกควบคุมโดยหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นการกระจายอำนาจอย่างสมบูรณ์และดำเนินการโดยเครือข่ายคอมพิวเตอร์
Bitcoin คือการประท้วงต่อต้านการทุจริต
นาย Naval Ravikant ผู้ก่อตั้ง Angelist เคยออกมาทวีตว่า “Bitcoin เป็นเครื่องมือในการปลดแอกมนุษยชาติจากผู้มีอำนาจและเผด็จการ”
ด้วยมุมมองนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ Bitcoin จะมีอัตราการนำไปใช้เพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ในประเทศที่มีชื่อเสียงในด้านการกดขี่ข่มเหงจากรัฐบาล
ตัวอย่างเรื่องราวหนึ่งที่น่าสนใจของวิศวกรซอฟต์แวร์ชาวยูเครนรายหนึ่งได้เล่าว่า เขาเริ่มต้นจากการประท้วงอย่างสันติในยูเครนเมื่อปี 2014 และก่อให้เกิดสงครามกลางเมืองขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ประเทศเต็มไปด้วยความรุนแรงและความไม่สงบ ตามที่คาดไว้เนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองสกุลเงินหลักของประเทศจึงมีมูลค่าร่วงลดลงกว่า 70% จนในที่สุดเขาก็ตกงานและกำลังมองหาวิธีที่จะหลบหนีออกนอกประเทศ
“ไม่มีอะไรเหลือสำหรับผมที่นั่น ผมถูกล้อมรอบไปด้วยความตายและการทำลายล้าง ดังนั้นผมจึงเริ่มวางแผนการที่จะหลบหนี”
สนามบินและถนนได้รับการคุ้มกันโดยทหารเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนหลบหนี เป็นที่ทราบกันดีว่าเจ้าหน้าที่หลายคนนั้นมีส่วนร่วมในการทุจริต โดยสั่งยึดเงินและของมีค่าที่จุดตรวจ ดังนั้น Greg ซึ่งเก็บเงินออมส่วนใหญ่ไว้ในสกุลเงินดอลลาร์ จึงตัดสินใจที่จะแลกเปลี่ยนทั้งหมดของเขาไปเป็น Bitcoin และจำวลี 12 คำจาก seed phrase จนขึ้นใจ ยกตัวอย่างเช่น “ชีวิตของผมขึ้นอยู่กับมัน” และวิ่งออกไปโดยไม่เหลืออะไรเลยนอกจากกระเป๋าเป้ใบเล็ก
นอกจากนี้มียังเรื่องราวมากมายอีกนับไม่ถ้วนของผู้คนที่พยายามหลบหนีจากการกดขี่ข่มเหงของรัฐบาลในแถบยุโรปตะวันออก , อเมริกาใต้และแอฟริกาโดยใช้ Bitcoin เป็นเครื่องมือในการพกพามูลค่าไปด้วย สำหรับหลาย ๆ คน Bitcoin นั้นคือสิ่งที่เข้ามาช่วยต่อชีวิตของพวกเขา
อเมริกาไม่มีภูมิคุ้มกันต่อการปฏิวัติทางการเงิน
เป็นเรื่องที่น่าสังเกตว่าอเมริกานั้นไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ นอกเหนือจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่และวิกฤตการเงินครั้งล่าสุดในปี 2008 ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่นั้นเกิดความไว้วางใจในระบบ แต่ระบบสกุลเงินเฟียตของอเมริกามีอายุเพียงแค่ 50 ปีเท่านั้น หลังจากที่ Nixon ยกเลิกใช้มาตรฐานทองคำในปี 1971
Bitcoin ถือกำเนิดขึ้นจากการประท้วงต่อต้านระบบการเงินในปี 2008 โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อต้านการกระตุ้นเศรษฐกิจจากทางรัฐบาล บล็อกแรกของ Bitcoin มีชื่อเสียงมาจากการต่อต้านอำนาจนี้ โดยอ้างถึงพาดหัวข่าวจาก UK Times ที่ถูกเขียนโค้ดเอาไว้ว่า :
“The Times 03 / Jan / 2009 Chancellor on brink of second bailout for banks” ซึ่งเป็นพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ที่บ่งชี้ว่า รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอังกฤษกำลังจะผลิตเงินเพิ่มเข้าไปในระบบเพื่อแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจ
ประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าการผลิตเงิน ‘ใหม่’ เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันโดยไม่มีการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจที่สอดคล้องนั้นจะนำไปสู่อัตราเงินเฟ้อ
Bitcoin เป็นสกุลเงินที่ออกแบบโดยไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาลใด ๆ โดยมันมีอุปทานทั้งหมดอยู่ที่ 21 ล้านหน่วยทำให้มันมีกลไกต่อต้านเงินเฟ้อและยังช่วยปกป้องผู้ถือ Bitcoin จากความเสี่ยงของนโยบายทางการเงินที่ดำเนินการโดยธนาคารกลางอีกด้วย
โลกต้องการ Bitcoin
นาย Charles de Gaulle อดีตประธานาธิบดีคนหนึ่งของฝรั่งเศสกล่าวถึงประเทศในปี 2508 ว่า “เราคิดว่าจำเป็นที่จะต้องมีการจัดตั้งการค้าระหว่างประเทศเหมือนในอดีตก่อนที่จะเกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ของโลกบนฐานการเงินที่เราไม่อาจโต้แย้งได้ โดยเราจะต้องไม่ถือสกุลเงินของประเทศใดประเทศหนึ่งเอาไว้”
เมื่อโลกเริ่มเชื่อมโยงถึงกันได้มากขึ้น รัฐบาลต่าง ๆ จึงเลือกที่จะสร้างสกุลเงินของตนเองขึ้นมาเพื่อสร้างอำนาจที่จะสัมพันธ์กับรัฐชาติอื่น ๆ ในการเจรจาทางการค้า ปัจจุบันสิ่งนี้ได้กลายเป็นแนวคิดที่ล้าสมัยไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่นั้นเริ่มไม่สนใจเรื่องชาตินิยมและพรมแดนของแต่ละรัฐมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไม่ยอมรับให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำหรือการใช้เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักของตน
ผู้เชี่ยวชาญนั้นได้เล็งเห็นถึงระบบการเงินที่จะเข้ามาปฏิวัติวงการอื่นนานแล้ว
โดยนาย Friedrich Hayek นักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับรางวัลโนเบลกล่าวไว้ในปี 1999 ว่า :
“ผมคิดว่าอินเทอร์เน็ตจะเป็นหนึ่งในพลังสำคัญในการลดบทบาทของรัฐบาล สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไป แต่จะได้รับการพัฒนาในไม่ช้าคือ e-cash ซึ่งเป็นวิธีการที่คุณสามารถโอนเงินจาก A ไป B บนโลกอินเทอร์เน็ตโดยที่ A ไม่รู้ B หรือ B รู้ A”
ซึ่งการคาดการณ์ทั้งหมดนี้เป็นจริงด้วยการสร้าง Bitcoin ขึ้นมาในปี 2009
จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนั้นสรุปได้ว่า ในอนาคต Bitcoin อาจกลายมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการประท้วงรัฐบาลมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ในประเทศไทยกำลังเริ่มมีการชุมนุมทางการเมืองที่ร้อนระอุและทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นแล้วหากในอนาคตมีการ cencor ใด ๆ จากทางรัฐบาลเกิดขึ้น เราก็จะสามารถใช้ Bitcoin เป็นเครื่องมือในการต่อต้านรัฐบาลและสามารถเก็บรักษาความมั่งคั่งของเราเอาไว้ได้นั่นเอง