นาย Oliver Renick หัวหน้าผู้ประกาศข่าวของ TD Ameritrade Network ได้กล่าวสรุปในช่วงท้ายของรายงานตลาดว่า นักลงทุนส่วนใหญ่นั้นสนใจที่จะลงทุนใน Bitcoin มากกว่าหุ้น เนื่องจากสกุลเงินดิจิทัลเป็นเพียงสินทรัพย์ประเภทเดียวที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากการประกาศข่าวกระตุ้นเศรษฐกิจในเชิงบวกของสหรัฐฯ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
BITCOIN เริ่มแยกตัวออกจากความสัมพันธ์ของตลาดหุ้น
ดูเหมือนว่านับตั้งแต่ช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Bitcoin ก็เริ่มมีความสัมพันธ์ที่แยกตัวออกจากตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะเดียวกันทำเนียบขาวและพรรคเดโมแครตของสหรัฐฯ ก็ใกล้ที่จะบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับการผ่านร่างกฎหมายกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งต่อไป โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ทรัมป์กล่าวว่าเขายินดีที่จะให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนในเรื่องนี้ แม้จะต้องเผชิญกับการคัดค้านจากสมาชิกพรรครีพับลิกันของเขาเองก็ตาม
ประธานสภา Nanci Pelosi กล่าวว่า เธอรู้สึกมีความหวังว่าข้อเสนอดังกล่าวจะผ่านลุล่วงไปได้ด้วยดี แต่อย่างไรก็ดีเธอยอมรับว่าการร่างกฎหมายจะไม่ผ่านไปจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พฤศจิกายน
จนถึงขณะนี้ความคาดหวังการผ่านร่างกฏหมายกระตุ้นเศรษฐกินในรอบที่สอง ส่งผลทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นของสหรัฐและ Bitcoin แต่อย่างไรก็ตามเมื่อวันพุธที่ผ่านมานาย Renick ชี้ให้เห็นว่าดัชนีวอลล์สตรีทนั้นได้ปรับตัวลงไปพร้อมกับดัชนีดอลลาร์
“ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นไม่ตอบสนองต่อค่าเงินดอลลาร์ที่ลดต่ำลงและการกระตุ้นเศรษฐกิจ” ผู้ประกาศข่าวให้ความเห็น
ปัจจุบันนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงเลือกที่จะลงทุนใน Bitcoin หลังจากที่ PayPal ประกาศก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรมคริปโตเมื่อวันพุธ โดยยักษ์ใหญ่ด้านการชำระเงินระดับโลกจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถซื้อ ขายและถือ Bitcoin ได้
โดยนักวิเคราะห์หลายคนได้ตั้งข้อสังเกตว่า เหรียญคริปโตเบอร์หนึ่งของโลกอาจจะพุ่งขึ้นอย่างน้อย 15,000 ดอลลาร์ภายในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งในขณะที่เขียนรายงานอยู่นี้ Bitcoin มีการซื้อขายอยู่ที่ $ 12,748 อ้างอิงข้อมูลจาก Coinmarketcap
ที่มา : bitcoinist