เป็นที่ทราบกันดีว่าการมาของควอนตัมคอมพิวเตอร์นั้นเริ่มทำให้หลายคนมีอาการวิตกกังวลและมีข่าวลือว่ามันจะเป็นการบ่อนทำลาย Bitcoin และ Cryptocurrency ตัวอื่น ๆ ทั้งหมด แต่ล่าสุดมีทฤษฏีที่ออกมายืนยันแล้วว่าควอนตัมคอมพิวเตอร์อาจสามารถไม่ทำลาย Bitcoin ได้
ก่อนอื่นเลยเราต้องเข้าใจก่อนว่า การคำนวณควอนตัมและการคำนวณแบบดั้งเดิมนั้นมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง การคำนวณเชิงควอนตัมสามารถวางไว้ในกระบวนทัศนเดียวกันกับฟิสิกส์ “ดั้งเดิม” ก่อนทศวรรษ 1900 และฟิสิกส์ “สมัยใหม่” ซึ่งประกอบไปด้วยข้อมูลเชิงลึกของไอน์สไตน์เกี่ยวกับทฤษฎีสัมพัทธภาพและฟิสิกส์เชิงควอนตัม
การคำนวณแบบดั้งเดิม เป็นคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่งที่เราคุ้นเคยกันดีเกี่ยวกับการคำนวณบนแล็ปท็อปหรือโทรศัพท์มือถือที่คุณพกพาติดตัวไปด้วยตลอดเวลา การคำนวณแบบดั้งเดิมต้องอาศัยการจัดการบิตข้อมูลทางกายภาพ (Physical bit) นั่นคือ 0 กับ 1 ยกตัวอย่างเช่น 011100011100011
ส่วนการคำนวณเชิงควอนตัมนั้นจะอาศัย qubits ที่อยู่ใน superposition และใช้หลักการทางควอนตัมในการคำนวณข้อมูลที่จับหรือสร้างขึ้นโดยระบบควอนตัมที่ได้รับประโยชน์จากความสามารถของ qubits ในการอยู่ในสถานะทางกายภาพมากกว่าหนึ่งครั้ง (superposition)
แต่ประเด็นหลัก ๆ ที่เราจะพูดถึงในบทความนี้ก็คือคอมพิวเตอร์ควอนตัมไม่ได้ดีไปกว่าคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิมในระดับสากล เมื่อผู้คนพูดถึง “อำนาจสูงสุดของควอนตัม” รวมถึงรายงานจาก Google หรือประเทศจีน พวกเขาหมายความว่าคอมพิวเตอร์ควอนตัมสามารถทำงานบางอย่างได้ดีกว่าคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม แต่อาจเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้ในกรอบเวลาที่เหมาะสมเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์แบบดั้งเดิม
หรือพูดง่าย ๆ ก็คือเราจะต้องจำกัดขอบเขตการทำงานให้แคบลงเพื่อช่วยให้คอมพิวเตอร์ควอนตัมนั้นมีประสิทธิภาพการทำงานที่ดีมากขึ้น ซึ่งมันอาจส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อสกุลเงินดิจิทัล แต่การจำกัดขอบเขตเหล่านั้นยังคงเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานานนับทศวรรษ
โดยสถาบันมาตรฐานและเทคโนโลยีแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NIST) ได้เริ่มรวบรวมข้อเสนอสำหรับการเข้ารหัสหลังยุคควอนตัม ที่การเข้ารหัสจะสามารถทำงานต่อไปได้และไม่ถูกทำลาย แม้จะมีเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่กว่าที่เราสามารถสร้างขึ้นได้ในปัจจุบัน ซึ่งพวกเขาประเมินว่าควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่พอที่จะขัดขวางการเข้ารหัสแบบดั้งเดิมได้นั้นอาจมาถึงในอีก 20 ปีข้างหน้า
สำหรับเรื่องการ Fork แยกเครือข่ายของ Cryptocurrency นั้นก็เป็นอีกทางออกหนึ่งที่ค่อนข้างคาดเดาได้ โดยมีทฤษฏีมากมายที่วางอยู่บนเทคโนโลยีการเข้ารหัสหลังยุคควอนตัมผ่านพ้นไป ซึ่ง Bitcoin อาจจะไม่เป็นหนึ่งในไม้กระดานแรกที่ล้มลง หากการเข้ารหัสแบบดั้งเดิมถูกทำลายลงอย่างกะทันหัน อย่างไรก็ตามการใช้ Softfork (ซึ่งตรงข้ามกับ Hardfork) อาจเพียงพอแล้วที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์
แม้ว่าคุณจะมีเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่มากพอที่จะโจมตีเครือข่ายของ Bitcoin แต่ถึงกระนั้นคุณก็ยังต้องเปิดเผยหรือค้นหา public keys ของใครสักคนเพื่อที่จะกำหนดการโจมตีนี้อีกด้วย ซึ่งนั้นทำให้ความเป็นไปได้ที่จะมีการโจมตีเกิดขึ้นนั้นดูลดน้อยลงไปอีก
นอกจากนี้เครื่องขุด ASIC ซึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เฉพาะทางที่ใช้สำหรับการขุด bitcoin ในตอนนี้ก็น่าจะมีพลังการประมวลผลที่เร็วกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องควอนตัมคอมพิวเตอร์ในรุ่นแรก ๆ อีกด้วย ดังนั้นการโจมตีด้วยควอนตัมคอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วน้อยกว่าจึงฟังดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เลย
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Bitcoin หรือแม้แต่สกุลเงินคริปโตตัวอื่น ๆ นั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวการอัพเดทฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ใหม่เพื่อให้เครือข่ายนั้นมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ดังนั้นพวกมันจึงมีการเตรียมความพร้อมอยู่เสมอสำหรับความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งนี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ควอนตัมคอมพิวเตอร์อาจไม่สามารถทำลายพวกมันได้นั่นเอง