New Republic ได้มีการเผยแพร่บทความเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีและ Ransomware หรือการโจมตีมัลแวร์เรียกค่าไถ่ โดยกล่าวว่าคริปโตเคอร์เรนซีทำให้การโจมตีเรียกค่าไถ่แล้วหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอยเป็นไปได้ง่ายขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“การแบนคริปโตเคอร์เรนซีเป็นวิธีเดียวที่จะหยุดการโจมตี Ransomware ที่กำลังทวีความรุนแรงครั้งนี้ได้” ข้อความในบทความได้กล่าวไว้
อย่างไรก็ตามเว็บไซต์ Bitcoinist ได้ออกมาโต้แย้งความคิดเห็นดังกล่าว ว่าการโจมตี Ransomware ไม่ได้ประสบความสำเร็จเสมอไป โดยยกตัวอย่างกรณีของ DarkSide ที่ได้มีการแฮกระบบของ Colonial Pipeline บริษัทท่อส่งน้ำมันรายใหญ่ของสหรัฐฯ ซึ่งในวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา กลุ่ม DarkSide ได้ออกมาประกาศยุบกลุ่มหลังเซิร์ฟเวอร์ถูกยึด
“เซิร์ฟเวอร์ถูกยึด เงินของพวกเราถูกโอนไปยังบัญชีที่ไม่รู้จัก เราสูญเสียการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานของเรา” ข้อความที่ถูกโพสต์ไปยังฟอรั่มอาชญากรรมไซเบอร์ใน Telegram ของ Russian OSINT
นอกจากนี้บทความของ New Republic ยังได้แนะนำแนวทางในการจัดการกับการโจมตี Ransomware อีกด้วย
“ขั้นตอนแรกที่ควรทำเพื่อป้องกันโครงสร้างพื้นฐานของรัฐและเอกชนจากการถูกโจมตี คือการทำให้เหรียญที่มีความผันผวนสูง, ใช้ได้แค่เก็งกำไร, และไม่มูลค่าที่แท้จริงเหล่านี้ผิดกฎหมาย หรือทำให้การซื้อขายเป็นไปได้ยากขึ้น”
ทาง Bitcoinist ได้แสดงความคิดเห็นว่าวิธีการดังกล่าวเป็นไปไม่ได้และไม่สามารถใช้งานได้จริง พร้อมกับพูดถึงร่างกฎหมาย S7289 ว่าเป็นแนวทางการจัดการที่สมเหตุสมผลมากกว่า
ร่างกฎหมายดังกล่าวถูกเสนอโดย David Carlucci วุฒิสมาชิกนิวยอร์ก และร่างกฎหมายนี้จะสร้างกองทุนที่มีวัตถุประสงค์ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศสหรัฐฯ
“อะไรที่สามารถแฮกได้ ก็ควรถูกแฮกให้เร็ว มันเป็นวิธีเดียวที่จะสร้างซอฟต์แวร์ที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น และเพื่อเป็นการเร่งกระบวนการให้เร็วยิ่งขึ้น บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้มีการให้รางวัลเมื่อมีการตรวจพบข้อผิดพลาด รวมถึงการเรียกใช้บริการจาก White Hat Hacker เพื่อทดสอบระบบและอุดช่องโหว่ดังกล่าว” ข้อความจากเว็บไซต์ Bitcoinist