<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ทำไมคุณควรสนใจการอัพเกรด Bitcoin Taproot ที่กำลังจะมาถึง

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ใครก็ตามที่อยู่ในวงการคริปโตมานานจะรู้ดีว่าความเป็นส่วนตัว ความสามารถในการปรับขนาด และความปลอดภัยนั้นถือเป็นข้อกังวลที่สำคัญของ Bitcoin แม้ว่า Bitcoin จะเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก แต่ปัญหาเหล่านี้ก็ยังคงต้องได้รับการแก้ไข และตัวอัพเกรด Taproot มีเป้าหมายที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขเหล่านั้น

Taproot คืออะไร ?

Taproot เป็น Soft Fork ที่จะเข้ามาช่วยปรับปรุงสคริปต์ของ Bitcoin เพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัวที่เกี่ยวข้องกับธุรกรรมให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น การทำธุรกรรมบนเครือข่าย Bitcoin จะสามารถเลือกใช้ฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นได้  รวมถึงการทำธุรกรรมแบบมี timelock,  การรองรับ multi-signature การเปิด lightning network channel, การทำ atomic swap หรือ transaction ที่มีความซับซ้อนอื่น ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ในความเป็นจริง Taproot จะช่วยให้ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่ามีการใช้สคริปต์ Bitcoin ยกตัวอย่างเช่น การโอน Bitcoin โดยใช้ Taproot จะช่วยให้สามารถทำธุรกรรมใน channel Lightning Network การทำธุรกรรมแบบเพียร์ทูเพียร์ หรือสัญญา Smart contract ที่ซับซ้อนจนแยกไม่ออก และใครก็ตามที่ตรวจสอบธุรกรรมเหล่านี้จะไม่มองเห็นอะไรเลยนอกจากธุรกรรมแบบเพียร์ทูเพียร์ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ว่ากระเป๋าเงินของผู้ส่งต้นทางและผู้รับปลายทางจะถูกเปิดเผย

ตัวอัพเกรด Taproot ได้ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกโดยนาย Greg Maxwell นักพัฒนา Bitcoin Core ในเดือนมกราคม 2018 และต่อมาในเดือนตุลาคมปี 2020 Taproot ได้ถูกรวมเข้ากับไลบรารีของ Bitcoin Core จากนั้นนักพัฒนาบิทคอยน์ Pieter Wuille ก็ได้สร้าง pull request เพื่อช่วยให้ตัวอัพเกรดนี้สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ และผู้รันโหนดจะต้องนำกฎประชามติของ Taproot มาโหวตลงคะแนน ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานหลายเดือนขึ้นอยู่กับว่าผลโหวตจะออกมาในทิศทางใด

ทั้งนี้ Taproot จะถูกนำไปใช้พร้อมกับการอัพเกรดอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่า Schnorr signatures ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้การใช้งาน Taproot เป็นไปได้เท่านั้น แต่ยังช่วยเปิดใช้งานฟีเจอร์ที่เป็นที่จับตามองอีกตัวหนึ่งที่เรียกว่า Signature Aggregation ด้วย

ข้อเสนอ Schnorr Signature & Taproot

Schnorr Signatures จะประกอบด้วยวิธีการเข้ารหัสที่ถูกพัฒนาโดย Claus Schnorr (นักคณิตศาสตร์และนักเข้ารหัสชาวเยอรมัน) แม้ว่า Schnorr ได้จดสิทธิบัตรคุ้มครองอัลกอริทึมของเขามาเป็นเวลานานหลายปี แต่สิทธิบัตรก็ได้หมดอายุลงอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2008 

Schnorr Signatures นั้นมีประโยชน์หลายอย่าง และที่เป็นที่รู้จักกันดี ในเรื่องของความเรียบง่ายและประสิทธิภาพในการสร้างลายเซ็นแบบสั้น ๆ

รูปแบบลายเซ็นที่ Satoshi Nakamoto (ผู้สร้าง Bitcoin) นำมาใช้คือ Elliptic Curve Digital Signature Algorithm (ECDSA) สาเหตุที่เลือก ECDSA แทนที่จะเป็นอัลกอริทึมลายเซ็นของ Schnorr นั้น เกิดจากการที่ ECDSA มีการใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เป็นที่เข้าใจ ปลอดภัย กะทัดรัด และเป็นโอเพนซอร์ซ 

อย่างไรก็ตาม การพัฒนา Schnorr Digital Signature Scheme (SDSS) อาจเป็นจุดเริ่มต้นของลายเซ็นรุ่นใหม่สำหรับ Bitcoin และเครือข่ายบล็อกเชนตัวอื่น ๆ

ข้อได้เปรียบหลักอีกอย่างหนึ่งของ Schnorr Signatures ก็คือวิธีการนี้สามารถทำให้คีย์หลาย ๆ คีย์ในธุรกรรมของ Bitcoin ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นลายเซ็นที่ไม่ซ้ำกันเพียงแค่ลายเซ็นเดียวได้ หรือพูดง่าย ๆ ก็คือลายเซ็นจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมสามารถ “ผสาน” กันเป็น Schnorr Signature เพียงลายเซ็นเดียวได้ โดยวิธีการนี้จะเรียกว่า Signature Aggregation

Taproot จะเป็นประโยชน์ต่อ Bitcoin อย่างไร?

ตามที่กล่าวไปข้างต้น Taproot จะนำการอัปเกรดครั้งยิ่งใหญ่มาสู่ Bitcoin ในแง่ของความเป็นส่วนตัว เมื่อรวมกับ Schnorr signatures แล้ว Taproot จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมให้มีความซับซ้อนและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น และนอกเหนือจากความเป็นส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นแล้ว ผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ Bitcoin จะได้รับตามมาก็คือ :

  • การลดปริมาณงานที่ถ่ายโอนและการจัดเก็บข้อมูลบนบล็อกเชน
  • การรองรับธุรกรรมได้มากขึ้นในแต่ละบล็อก (อัตรา TPS ที่สูงขึ้น)
  • การปรับลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม

ข้อดีอีกอย่างของ Taproot ก็คือ ความจริงที่ว่าลายเซ็นจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกต่อไป ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นการเพิ่มความปลอดภัยขั้นสูงสุดให้กับเครือข่าย Bitcoin หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การที่เราสามารถเปลี่ยนแปลงลายเซ็นได้นั่นหมายความว่าเราจะสามารถแก้ไขลายเซ็นของธุรกรรมก่อนการ confirm ธุรกรรมได้ ในกรณีนี้มันจะเปิดโอกาสแก่ผู้ที่ไม่หวังดีสามารถทำให้ธุรกรรมดูเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น และสิ่งนี้ทำให้ Bitcoin ต้องเผชิญกับปัญหาการทำธุรกรรมซ้ำซ้อน (double-spending) ที่อาจส่งผลเสียต่อเครือข่ายโดยรวม 

สรุป

Taproot คือ การอัพเกรด Bitcoin ที่หลายคนคาดหวังไว้สูงและได้รับการสนับสนุนในวงกว้าง หากสิ่งนี้ถูกนำไปใช้พร้อมกับ Schnorr Signatures มันจะเป็นการอัปเกรดที่สำคัญที่สุดในแง่ของความเป็นส่วนตัว ความสามารถในการปรับขนาด ความปลอดภัยและอื่น ๆ อีกทั้งการอัพเกรดเหล่านี้ยังสามารถเพิ่มความสนใจให้กับเครือข่าย Lightning Network ได้มากขึ้นและส่งเสริมให้ multisig กลายเป็นมาตรฐานหลักของอุตสาหกรรมคริปโตในอนาคต