ถ้าหากใครอยู่ในแวดวงด้านการลงทุนหุ้นมาก่อน คงจะเคยได้ยินชื่อเสียงของกูรูนักลงทุนในตำนานอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เผยแพร่แนวคิดการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) คนแรกในประเทศไทย โดยในปัจจุบันนี้ เรามักพบเห็น ดร.นิเวศน์ อธิบายถึงแนวคิดสำคัญผ่านทางสื่อต่าง ๆ เพื่อให้นักลงทุนเลิกเก็งกำไรอย่างไร้หลักการในตลาด และหันมาลงทุนอย่างปลอดภัยมากขึ้น
ทั้งนี้ ดร.นิเวศน์ ไม่ได้มีชื่อเสียงในฐานะผู้แนะนำด้านการลงทุนเท่านั้น เพราะประสบการณ์ของเขาเรียกได้ว่าเป็นตัวจริงในตลาดหุ้นเลยทีเดียว ดังนั้นในวันนี้ทางสยามบล็อกเชนจึงจะพาทุกคนมาส่องพอร์ตของ ดร.นิเวศน์ นับตั้งแต่ปี 2002 จนถึง 2010 แล้วมาดูกันว่ามีจุดไหนที่น่าสนใจบ้าง
2002
ดร.นิเวศน์ เริ่มต้นด้วยพอร์ตมูลค่า 30 ล้านบาท ในปี 2002 โดยมีหุ้นหลัก 3 ตัว คือ Stanly, PR และ SSC คิดเป็น 96% ของพอร์ต และถือหุ้น Stanly ประมาณ 56% ของพอร์ต
2002 – 2003
จากปี 2002 ถึง 2003 พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เติบโตขึ้น +145% โดยมูลค่าพอร์ตเพิ่มขึ้นจาก 30 ล้านเป็น 76 ล้านบาท (+46 ล้าน) ทั้งนี้ผลตอบแทนส่วนใหญ่มาจากหุ้น Stanly ที่เติบโต +192% จาก 17 เป็น 51 ล้านบาท (มูลค่าเพิ่มขึ้น 34 ล้านบาท) และในปี 2003 พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ มีหุ้นหลัก 4 ตัว แต่เฉพาะ Stanly ตัวเดียว คิดเป็น 66% ของพอร์ต
2003 – 2005
จากปี 2003 ถึง 2005 พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เติบโตขึ้น +108% จาก 76 เป็น 158 ล้านบาท (+ 82 ล้าน) ทั้งนี้ผลตอบแทนส่วนใหญ่มาจากหุ้น IRC ที่เติบโต +365% จาก 9 ล้านเป็น 44 ล้านบาท (+34 ล้าน) และหุ้น SSC ที่เติบโต +560% จาก 6 ล้านเป็น 42 ล้านบาท (+35 ล้าน)
ในปีนี้ ดร.นิเวศน์ ได้ขายหุ้น Stanly 50 ล้านบาท เพื่อซื้อ HmPro เพิ่มอีก 50 ล้านบาท โดยพอร์ตมีหุ้นหลัก 3 ตัว ซึ่งคิดเป็น 86% ของมูลค่าพอร์ต ซึ่งสัดส่วนของทั้ง 3 ตัวใกล้เคียงกัน คือ HMPRO 32%, IRC 28%, SSC 26% ตามลำดับ
2005 – 2006
จากปี 2005 ถึง 2006 พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เติบโตขึ้น +74% จาก 158 ล้านเป็น 275 ล้านบาท (+117 ล้าน) โดยหลัก ๆ มาจากหุ้น SE-ED ที่เติบโต +83% จาก 12 ล้านเป็น 22 ล้านบาท (+10 ล้าน)
ในช่วงนี้ ดร.นิเวศน์ ได้เพิ่มหุ้น IT 76.4 ล้าน, APRINT 26 ล้าน และ CENTEL 9 ล้าน (รวม +110 ล้านบาท) แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ดร.นิเวศน์ ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นใหญ่ใน IT, APRINT และ CENTEL
พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ มีหุ้นหลัก 6 ตัว คิดเป็น 93% ของพอร์ต ได้แก่ IT 28%, IRC 17%, HMPRO 16%, SSC 14%, APRINT 9% และ SE-ED 8% ซึ่งดูเหมือนว่าพอร์ตของ ดร.นิเวศน์ จะเริ่มกระจายตัวมากขึ้น (จาก 3 ตัวหลัก เป็น 6 ตัวหลัก)
2006 – 2007
จากปี 2006 ถึง 2007 พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เติบโตขึ้นเพียง +2% เท่านั้น จาก 275 ล้าน เป็น 281 ล้านบาท (+6 ล้าน) โดยหลัก ๆ มาจากหุ้น HmPro ที่เติบโต +73% จาก 45 ล้านเป็น 78 ล้านบาท (+ 33 ล้าน), IRC เติบโต +38% จาก 47 ล้านเป็น 65 ล้านบาท (+18 ล้าน)
ในช่วงนี้ หุ้น IT มีมูลค่าลดลง -31% ดังนั้นมูลค่าหุ้น IT ในพอร์ตของ ดร.นิเวศน์ จึงเปลี่ยนจาก 76 ล้านเป็น 53 ล้านบาท (-23 ล้าน) ทั้งนี้ดร.นิเวศน์ ได้ขายหุ้น SE-ED 22 ล้าน และเพิ่มหุ้น SVOA 11 ล้านบาท โดยพอร์ตมีหุ้นหลัก 5 ตัว คิดเป็น 93% ของพอร์ต ได้แก่ HMPRO 28%, IRC 23%, IT 19%, SSC 13% และ APRINT 10% ซึ่งนับได้ว่าเป็นการลดจำนวนหุ้นหลักจาก 6 ตัว เป็น 5 ตัว
2007 – 2008
จากปี 2007 ถึง 2008 พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เติบโตขึ้น +73% จาก 281 ล้านเป็น 487 ล้านบาท (+206 ล้าน) โดยหลัก ๆ มาจากการเพิ่มหุ้น CPALL 236 ล้านบาท เป็นสัดส่วนประมาณ 48% ของพอร์ต
ในช่วงนี้ ดร.นิเวศน์ ได้ขายหุ้น SSC 37 ล้านบาท ทำให้หุ้นหลักในพอร์ตลดลงจาก 5 ตัวเหลือ 4 ตัวหลัก ซึ่งคิดเป็น 90% ของพอร์ต ได้แก่ CPALL 48%, HMPRO 17%, IRC 14% และ IT 11%
2008 – 2009
จากปี 2008 ถึง 2009 พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เติบโตขึ้น +60% จาก 487 ล้านเป็น 781 ล้านบาท (+294 ล้าน) โดยหลัก ๆ มาจากหุ้น CPALL ที่เติบโตขึ้น +136% จาก 236 ล้านเป็น 558 ล้านบาท (+322 ล้าน)
แม้จะได้กำไรไปเยอะมาก แต่หุ้นหลักก็มีติดลบเช่นกัน โดยหุ้น HMPRO มีมูลค่าลดลง -15% ทำให้มูลค่าหุ้น HMPRO ในพอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เปลี่ยนจาก 85 ล้านเป็น 72 ล้านบาท (-13 ล้าน) ขณะเดียวกัน หุ้น IRC ที่มีมูลค่าลดลง -12% ยังทำให้มูลค่าหุ้นในพอร์ตลดลงจาก 70 ล้านเป็น 55 ล้านบาท (-15 ล้าน)
ในช่วงนี้ พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ มีหุ้นหลัก 4 ตัว คิดเป็น 95% ของพอร์ต ได้แก่ CPALL 71%, HMPRO 9%, IT 8% และ IRC 7%
2009 – 2010
จากปี 2009 ถึง 2010 พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เติบโตขึ้น +34% จาก 781 ล้านเป็น 1,046 ล้านบาท (+265 ล้าน) โดยหลัก ๆ มาจากหุ้น CPALL ที่เติบโตขึ้น +10% จาก 558 ล้านเป็น 613 ล้านบาท (+55 ล้าน) และหุ้น HMPRO ที่เติบโตขึ้น +146% จาก 72 ล้านเป็น 177 ล้านบาท (+105 ล้าน)
ในช่วงนี้ ดร.นิเวศน์ ได้เพิ่มหุ้น MBK 80 ล้านบาท และเพิ่ม IT อีก 14 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีชื่อในนาม ดร.นิเวศน์ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ อย่างไรก็ตาม หุ้น IRC กลับมีมูลค่าลดลง -12% ทำให้มูลค่าหุ้นตัวนี้ในพอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เปลี่ยนจาก 70 ล้านเป็น 55 ล้านบาท (มูลค่าลด -15 ล้าน)
ในปี 2010 พอร์ตของ ดร.นิเวศน์ มีหุ้นหลักเพิ่มเป็น 5 ตัว (จากเดิม 4 ตัว) คิดเป็น 97% ของพอร์ต ได้แก่ CPALL 58%, HMPRO 17%, MBK 8%, IT 7% และ IRC 7%
ข้อสังเกต:
- การจัดพอร์ตของ ดร.นิเวศน์ เช่น จำนวนหุ้นที่ลงทุน และสัดส่วนเงินลงทุนในหุ้นแต่ละตัว ถือเป็นสิ่งที่มีความสำคัญต่อการเติบโตของพอร์ตเป็นอย่างมาก
- ดร.นิเวศน์ มักจะถือหุ้นในระยะยาว รอให้ออกดอกผล เพราะหุ้นแต่ละตัวมีช่วงเวลาในการเติบโตของตัวเอง ดังนั้นเมื่อเวลามาถึง หุ้นตัวนั้น ๆ ก็จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล
- ดร.นิเวศน์ จะกล้า cut loss ก็ต่อเมื่อหุ้นไม่โตตามที่วางแผนไว้
- เมื่อเจอหุ้นที่กำลังเติบโต แต่มีราคาถูก ดร.นิเวศน์ กล้าที่จะถือหุ้น 50% ของพอร์ต เช่น Stanly ในปี 2002 หรือ CPALL ในปี 2007
- ส่วนใหญ่ ดร.นิเวศน์ จะไม่ลงทุนแบบถัวเฉลี่ยในหุ้นที่มูลค่ากำลังลดลง เพราะการที่มีหุ้นมีมูลค่าลดลงจะทำให้พอร์ตไม่ไปไหน เช่น IT ในปี 2007
ที่มา: เพจนักลงทุนผู้ชาญฉลาด, pantip