<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

5 เทคนิคการใช้ Stop Loss ที่นักเทรดคริปโตต้องรู้

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เมื่อได้ลองก้าวเข้ามาในตลาดคริปโต หลายคนคงพอรับรู้ได้ว่าตลาดแห่งนี้เต็มไปด้วยความผันผวนมากแค่ไหน ซึ่งถ้าหากต้องการจะอยู่รอดให้ได้ นักลงทุนก็ต้องเผชิญทั้งความกดดันและความเสี่ยงครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไรก็ตาม บางคนอาจหลงลืมไปแล้วว่า Stop Loss เป็นเสมือนเรือช่วยชีวิตที่แข็งแกร่งมากแค่ไหน

Stop Loss (SL) คือ จุดที่นักลงทุนกำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะขายสินทรัพย์ที่ถืออยู่หากราคาปรับตัวลดลงถึงจุดนั้น ทั้งนี้การตั้ง Stop Loss เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับนักเทรด ช่วยลดโอกาสขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้หากราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง

ถ้าหากเราสามารถตั้ง Stop Loss ได้อย่างเหมาะสม เครื่องมือนี้ก็จะเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพยิ่งกว่าที่หลาย ๆ คนคาดคิดเลยทีเดียว ดังนั้นในวันนี้ทางสยามบล็อกเชนจึงจะมาแนะนำ 5 เทคนิคการใช้ Stop Loss ที่นักเทรดต้องรู้ เพื่อให้ทุกคนสามารถลงทุนในตลาดได้อย่างมั่นใจ และอยู่รอดได้ในระยะยาว

กำหนดจุด Stop Loss เป็นเปอร์เซ็นต์

วิธีนี้เป็นการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด เพราะสิ่งที่ต้องทำก็มีเพียงแค่การกำหนดเปอร์เซ็นต์ที่ยอมรับได้ถ้าหากขาดทุน เช่น 5% หรือ 10% โดยนำเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวมาคูณกับราคาซื้อสินทรัพย์ ก็จะได้จุด Stop Loss ที่ต้องการ

สมมติว่าซื้อเหรียญ A ที่ราคา 200 บาทต่อเหรียญ และต้องการให้ขาดทุนไม่เกิน 5% จากราคาซื้อ ก็จะคำนวณดังนี้:

= 200 บาท x 5% (ราคาซื้อ x เปอร์เซ็นต์ของ Stop Loss)

= 10 บาท

จากการคำนวณ หมายความว่าถ้าต้องการขาดทุนไม่เกิน 5% เราก็จะเสียเงินได้ไม่เกิน 10 บาท ดังนั้นถ้าราคาเหรียญ A ลดลงมาถึง 190 บาท หรือต่ำกว่า คำสั่งขายก็จะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติ

กำหนดจุด Stop Loss ตามแนวรับหรือแนวต้าน

สำหรับนักเทรดที่มีความรู้ด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ก็สามารถใช้แนวรับหรือแนวต้านเป็นจุด Stop Loss ได้ โดยกำหนดจุด Stop Loss ที่ต่ำกว่าแนวรับหรือสูงกว่าแนวต้าน

กำหนดจุด Stop Loss ตาม Fibonacci Retracement

Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้วัดการย่อตัวของราคาจากระดับสูงสุดสู่ระดับต่ำสุด โดยเราสามารถใช้ระดับ Fibonacci Retracement เป็นจุด Stop Loss ได้ ทั้งนี้ระดับ Fibonacci ที่นิยมมี 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8% และ 78.6%

สมมติว่าราคาเหรียญ A มีการเคลื่อนไหวขึ้นมาจากราคา 100 บาท และขึ้นสูงสุดที่ 200 บาท ก่อนจะเริ่มมีแนวโน้มย่อตัว การคำนวณการย่อตัวของราคาจากระดับสูงสุดถึงระดับต่าง ๆ ของ Fibonacci จะคำนวณดังนี้:

ระดับ 38.2%: 200 – (100 x 38.2%) = 162 บาท

ระดับ 61.8%: 200 – (100 x 61.8%) = 138 บาท

กำหนดจุด Stop Loss แบบ Trailing Stop

Trailing Stop คือ จุด Stop Loss ที่ขยับตามราคาสินทรัพย์ โดยยังคงรักษาระดับขาดทุนที่ยอมรับได้ไว้ เช่น กำหนด Stop Loss ไว้ที่ 5% จากราคาซื้อ แล้วกำหนด Trailing Stop ที่ 10% ของราคาปัจจุบัน โดยหากราคาสินทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้น Trailing Stop ก็จะขยับขึ้นตามไปด้วย แต่เมื่อราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงจนแตะระดับ Trailing Stop ก็จะขายสินทรัพย์ออกโดยอัตโนมัติ

สมมติว่าซื้อเหรียญ A ที่ราคา 100 บาท และตั้งค่า Trailing Stop ที่ 10%:

  1. ในตอนแรก จุด Stop Loss ของเราจะอยู่ที่ 90 บาท (100 บาท – 10%)
  2. หลังจากนั้น ราคาเหรียญ A ขึ้นไปที่ 120 บาท จุด Stop Loss ของเราจะขยับขึ้นตามมาที่ 108 บาท (120 บาท – 10%)
  3. ถ้าราคาเหรียญ A เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนอยู่ที่ 150 บาท จุด Stop Loss ของเราก็จะขยับขึ้นอีกเป็น 135 บาท (150 บาท – 10%)
  4. แต่ถ้าราคาเหรียญ A ลดลงมาที่ 140 บาท จุด Stop Loss ของเราจะยังคงอยู่ที่ 135 บาท ดังนั้นถ้าราคาเหรียญ A ลดลงต่ำกว่าหรือเท่ากับ 135 บาท คำสั่งขายก็จะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติ

กำหนดจุด Stop Loss แบบ Fixed Stop

Fixed Stop คือ จุด Stop Loss ที่ไม่มีการขยับตามราคาสินทรัพย์ เหมาะสำหรับนักเทรดที่ไม่อยากพลาดโอกาสในการทำกำไร โดยถ้าหากราคาสินทรัพย์ปรับตัวลดลงจนแตะระดับ Fixed Stop ก็จะขายสินทรัพย์ออกโดยอัตโนมัติ

สมมติว่าซื้อเหรียญ A ที่ราคา 500 บาทต่อเหรียญ และตัดสินใจกำหนดจุด Stoploss ที่ราคา 475 บาท หมายความว่าเราขาดทุนได้สูงสุด 25 บาทต่อเหรียญ โดยถ้าหากราคาเหรียญ A เพิ่มขึ้นมาเป็น 520 บาท หรือ 540 บาท จุด Stoploss ของเราก็ยังคงอยู่ที่ราคา 475 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้าราคาเหรียญ A ลดลงมาที่ 475 บาท หรือต่ำกว่า คำสั่งขายก็จะถูกดำเนินการโดยอัตโนมัติ

ข้อควรระวังในการใช้ Stop Loss

  • ไม่ควรตั้ง Stop Loss ไว้ต่ำเกินไป เนื่องจากอาจทำให้ขาดทุนก่อนถึงจุดที่คาดหวังไว้
  • ไม่ควรตั้ง Stop Loss ไว้สูงเกินไป เนื่องจากอาจทำให้พลาดโอกาสในการทำกำไร
  • ควรปรับ Stop Loss ตามสถานการณ์ในตลาด

สรุป

การตั้ง Stop Loss เป็นกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับนักเทรด เนื่องจากจะช่วยให้นักเทรดจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นการเลือกเทคนิคการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ก็จะช่วยให้นักเทรดสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ