<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

ลองถาม ChatGPT-4o ว่ารู้จัก “ดร.โสภณ” ผู้มาเขย่าตลาดคริปโตไทยไหม ? คำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไร

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

เนื่องด้วยในปัจจุบัน “ดร.โสภณ” หรือ นาย โสภณ พรโชคชัย เริ่มเป็นที่รู้จักและเป็นกระแสในวงการคริปโตเคอร์เรนซีของไทย จากการที่เขาได้ออกมาวิจารณ์คริปโตเคอร์เรนซีอย่างตรงไปตรงมา ในวันนี้ทางสยามบล็อกเชนจึงได้ทำการทดลอง ตั้งคำถามไปถามเอไอสุดฉลาดอย่าง ChatGPT-4o ว่าจะรู้จักกับ ดร.โสภณ ไหม

สยามบล็อกเชนจึงลองถาม ChatGPT-4o ปัญญาประดิษฐ์ประเภท AI Chatbot ชื่อดังว่า “คุณรู้จักดร.โสภณไหม ?” คำตอบที่ได้จะเป็นอย่างไร ชวนมาดูกัน

คำถามแรกที่ทางทีมงานได้นำไปถาม ChatGPT คือคำถามว่า “รู้จัก ดร.โสภณ ไหม?” ChatGPT ตอบคำถามซึ่งแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า 

ดร.โสภณ พรโชคชัย เป็นนักวิจัยและนักวิเคราะห์ทางด้านอสังหาริมทรัพย์และเศรษฐกิจที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ท่านมีความเชี่ยวชาญในด้านการประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทที่ปรึกษาทางด้านอสังหาริมทรัพย์ชื่อว่า “มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย” (Thai Appraisal Foundation) ซึ่งมุ่งเน้นให้ความรู้และข้อมูลทางด้านการประเมินมูลค่าทรัพย์สิน

ดร.โสภณ ยังมีบทบาทในการเป็นวิทยากรและนักเขียนบทความที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ท่านยังมีประสบการณ์ในการเป็นที่ปรึกษาให้กับหน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ

แน่นอนว่าการสอบถามประวัติบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง ดร.โสภณ อาจจะง่ายเกินไปสักเล็กน้อยสำหรับ ChatGPT เราจึงได้ถามเพิ่มเข้าไปว่า “ทำไมเขาถึงชอบออกมาพูดเรื่องคริปโต”ซึ่ง ChatGPT ได้ตอบกลับมาว่า

ดร.โสภณ พรโชคชัย ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องคริปโตเคอร์เรนซี (cryptocurrency) เนื่องจากเขามองว่าเป็นหัวข้อที่มีความสำคัญและมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุนในปัจจุบันและอนาคต การพูดถึงเรื่องคริปโตเคอร์เรนซีสามารถเกิดจากหลายปัจจัย:

  1. ผลกระทบทางเศรษฐกิจ: คริปโตเคอร์เรนซีมีผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศและระดับโลก การเข้าใจและวิเคราะห์เรื่องนี้ช่วยให้มองเห็นแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
  2. การลงทุน: คริปโตเคอร์เรนซีเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่ได้รับความนิยมมากขึ้น การพูดถึงเรื่องนี้ช่วยให้นักลงทุนได้รับข้อมูลและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์
  3. ความรู้และการศึกษา: ดร.โสภณ อาจต้องการเผยแพร่ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีให้กับผู้คนทั่วไป เพื่อให้พวกเขาเข้าใจถึงความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้อง
  4. การพัฒนาทางเทคโนโลยี: คริปโตเคอร์เรนซีเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางเทคโนโลยีที่สำคัญ การศึกษาและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ช่วยให้เข้าใจถึงทิศทางและการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี

ดร.โสภณ อาจมองว่าการให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจโดยรวม

คำตอบที่ได้จากเอไอนั้นถือว่าวิเคราะห์ออกมาได้ดีในระดับหนึ่ง ทว่ามันยังไม่ได้นำเสนอถึงจุดยืนของตัว ดร. ในปัจจุบัน เราจึงเพิ่มคำถามเข้าไปอีกว่า “คิดว่า ดร.นั้นต่อต้านคริปโตหรือไม่” ซึ่ง ChatGPT ได้ระบุตอบกลับมาว่า

ดร.โสภณ พรโชคชัย มีมุมมองที่ค่อนข้างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็นการต่อต้านในบางกรณี แต่มุมมองของเขามักเน้นไปที่การให้ความรู้และเตือนผู้ลงทุนถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีมากกว่าที่จะเป็นการต่อต้านอย่างตรงไปตรงมา

ประเด็นที่ ดร.โสภณ อาจเน้นในการวิพากษ์วิจารณ์คริปโตเคอร์เรนซีประกอบด้วย:

  1. ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน: คริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูง ซึ่งทำให้นักลงทุนเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุนได้ง่าย ดร.โสภณอาจเตือนถึงความไม่แน่นอนนี้เพื่อให้นักลงทุนมีการตัดสินใจที่มีข้อมูลมากขึ้น
  2. การใช้งานที่ไม่ถูกต้อง: คริปโตเคอร์เรนซีบางครั้งถูกใช้ในกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย เช่น การฟอกเงินหรือการซื้อขายสิ่งผิดกฎหมาย ดร.โสภณอาจมีความกังวลในด้านนี้
  3. การคุ้มครองนักลงทุน: ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีมักไม่มีการควบคุมที่เข้มงวดเหมือนกับตลาดการเงินแบบดั้งเดิม ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนไม่ได้รับการคุ้มครองที่เพียงพอ
  4. การแสดงข้อมูลที่โปร่งใส: การให้ข้อมูลที่ถูกต้องและโปร่งใสเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีเป็นสิ่งที่สำคัญ ดร.โสภณอาจวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นที่ข้อมูลเกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซีบางครั้งมีความคลุมเครือ

แม้ว่าดร.โสภณอาจมีท่าทีที่ค่อนข้างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคริปโตเคอร์เรนซี แต่เจตนาของเขามักจะเป็นการให้ความรู้และเตือนนักลงทุนเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลมากขึ้น

จากการทดลองจะเห็นได้ว่าแม้ฐานข้อมูลของ ChatGPT-4o จะยังไม่อัปเดตตามข้อมูลในปัจจุบันทันแต่มันก็มีความฉลาดในการเลือกตอบคำถามอยู่พอสมควร และสามารถอธิบายมุมมองของ ดร. ได้ใกล้เคียงเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้แม้ว่าการนำข้อมูลปัจจุบันจะทำให้ AI นั้นฉลาดขึ้น แต่ผลกระทบจากการกระทำเหล่านั้นย่อมเพิ่มความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเราควรใช้งานเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างพอดีเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจตามมาในอนาคต