ในยุคที่เทคโนโลยี AI กำลังขับเคลื่อนโลก ธุรกิจหลายประเภทต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือบริษัท Chegg ผู้ให้บริการด้านการศึกษาออนไลน์ที่เคยได้รับความนิยมอย่างสูง แต่กลับต้องเผชิญกับวิกฤตราคา หุ้นร่วงดิ่งลงถึงเกือบ 99% ภายใต้แรงกดดันของเทคโนโลยี AI อย่าง ChatGPT
Chegg กับโมเดลธุรกิจที่เคยรุ่งเรือง
Chegg เคยเป็นชื่อที่นักเรียนและนักศึกษาทั่วโลกต่างพึ่งพา ด้วยบริการให้เช่าหนังสือเรียน การช่วยทำการบ้าน และให้คำแนะนำการศึกษาแบบครบวงจร ธุรกิจของ Chegg เติบโตอย่างมั่นคงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และกลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้าน
จุดเด่นของ Chegg อยู่ที่การมอบ “ความสะดวกสบาย” ให้กับผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบสำหรับการบ้านหรือการเข้าถึงเนื้อหาการเรียนรู้ที่ยากจะหาได้จากแหล่งอื่น แต่ความสะดวกเหล่านี้กลับถูกท้าทายโดยเทคโนโลยีที่เพิ่งเกิดใหม่อย่าง AI
ChatGPT เขย่าฐานลูกค้า Chegg
เมื่อ ChatGPT เปิดตัวในปี 2022 ผู้ใช้งานเริ่มหันมาใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อช่วยแก้โจทย์การบ้าน หาข้อมูลเชิงลึก และแม้กระทั่งเขียนบทความหรือทำงานวิจัย การใช้งานที่ง่ายดายของ ChatGPT กลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่าสำหรับนักเรียน
ในช่วงปี 2023 ผู้ใช้งานเริ่มลดความสนใจในแพลตฟอร์มของ Chegg เนื่องจาก ChatGPT ให้บริการแบบฟรี หรือมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า นอกจากนี้ AI ยังสามารถปรับคำตอบให้เหมาะกับคำถามของผู้ใช้ได้แบบเรียลไทม์ สิ่งนี้กลายเป็นแรงผลักดันให้ Chegg สูญเสียลูกค้าอย่างรวดเร็ว
ราคาหุ้น Chegg แดงเถือก
ด้วยความนิยมของ ChatGPT ส่งผลให้ Chegg เผชิญกับผลกระทบที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท โดยราคาหุ้นที่เคยสูงถึงระดับร้อยดอลลาร์ เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2021 ลดลงเหลือเพียงไม่ถึง 1 ดอลลาร์ในปี 2024
ตามรายงานทางการเงิน Chegg ระบุว่า จำนวนผู้สมัครสมาชิกของบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง และรายได้รวมของบริษัทหดตัวลงมากกว่าครึ่ง ในขณะเดียวกัน มูลค่าตลาด (Market Cap) ของ Chegg ลดลงจากหลายหมื่นล้านเหลือเพียงเศษเสี้ยวของมูลค่าเดิม
ในขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal ได้เปิดเผยผลสำรวจ นักศึกษามหาวิทยาลัยที่จัดทำโดยธนาคารเพื่อการลงทุน Needham ซึ่งพบว่า
“มีเพียงแค่ 30% ของนักศึกษาวางแผนที่จะใช้งาน Chegg ในภาคเรียนนี้ ซึ่งลดลงจาก 38% ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ในขณะที่มีนักศึกษาถึง 62% วางแผนที่จะใช้งาน ChatGPT ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 43%”
ประสบการณ์จากผู้ใช้งานจริง
นักศึกษารายหนึ่งเผยว่า เขาเคยใช้ Chegg ในช่วงที่เรียนปริญญาตรีระหว่างปี 2015 ถึง 2019 และเปลี่ยนมาใช้ ChatGPT ในการเรียนปริญญาโท MBA ระหว่างปี 2022 ถึง 2024 เขาแสดงความคิดเห็นว่า การล่มสลายของ Chegg หลังการเปิดตัว ChatGPT เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาได้ตั้งแต่ต้น เนื่องจากความสะดวกและประสิทธิภาพของ AI ที่เหนือกว่า Chegg อย่างชัดเจน
Chegg เติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงการเรียนออนไลน์ระหว่างโควิด แต่รายได้หลักของบริษัทมาจากบริการ Chegg Study ที่มีฐานข้อมูลคำตอบ 46 ล้านคำถาม ซึ่งส่วนใหญ่มาจากฟรีแลนซ์ในอินเดีย จุดอ่อนสำคัญคือ Chegg ใช้ตอบคำถามซ้ำ ๆ ได้ดี แต่ไม่สามารถแก้ปัญหาใหม่ ๆ ได้ เหมือน ChatGPT
Forbes รายงานว่า นักศึกษา 42 จาก 52 คนยอมรับตรงๆ ว่าใช้ Chegg เพื่อโกงการบ้าน แต่การมาของ ChatGPT ซึ่งแก้ปัญหาได้ทันทีและมีประสิทธิภาพกว่า ทำให้โมเดลธุรกิจของ Chegg เริ่มไม่ตอบโจทย์ในยุค AI อีกต่อไป
ในเดือนเมษายน 2023 เมื่อ Chegg ตระหนักว่า Generative AI กำลังกลายเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของบริษัท พวกเขาได้ประกาศความร่วมมือกับ OpenAI เพื่อพัฒนา “CheggMate” ซึ่งเป็น “ผู้ช่วยการเรียนรู้ผ่านการสนทนาด้วย AI” ที่ใช้พลังของ GPT-4
จากนั้นในเดือนสิงหาคม 2023 Chegg ได้เปลี่ยนไปจับมือกับ Scale AI ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่บริษัทอย่าง OpenAI และ Nvidia ใช้ในการฝึกและพัฒนาอัลกอริธึม machine-learning เพื่อสร้างโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Model) ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง
แต่ปัญหาใหญ่คือ โมเดลของ Chegg ไม่มีทางสู้ OpenAI ได้เลย เพราะ OpenAI มีความได้เปรียบที่ล้ำหน้ามาหลายปี ในการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า GPT-4 ถูกฝึกด้วยพารามิเตอร์มากถึง 1.8 ล้านล้านตัว
ดังนั้นการที่ Chegg คิดจะสร้างโมเดลภาษาที่ทรงพลังกว่า ChatGPT ด้วยฐานข้อมูลเพียง 46 ล้านำคำตอบของพวกเขา จึงฟังดูเหมือนเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะตั้งแต่แรก
บทเรียนสำคัญ จากเรื่องนี้คือ หากโมเดลธุรกิจของคุณอาศัยแรงงานราคาถูกจากต่างประเทศเพื่อตอบคำถามลูกค้าอย่างรวดเร็ว มีโอกาสสูงที่โมเดล Generative AI จะสามารถทำสิ่งนั้นได้ในต้นทุนที่ถูกกว่าและเร็วกว่าคุณอย่างแน่นอน