Sam Altman ผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเอไอชื่อดัง “OpenAI” ผู้อยู่เบื้องหลัง ChatGPT เคยได้เขียนบทความที่ชื่อว่า Three Observations ในบล็อกส่วนตัวของเขา ซึ่งเป็นการทำนายถึงอนาคตของ AI ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของมนุษย์
ในช่วงต้นของบทความ Altman ได้กำชับว่าเป้าหมายของพวกเขาคือ การทำให้ AGI (Artificial General Intelligence) สร้างผลประโยชน์ให้กับมวลมนุษยชาติ
สำหรับคำว่า AGI หมายถึง ระบบของปัญญาที่สามารถแก้ไขปัญหาซับซ้อนได้เทียบเคียงกับมนุษย์ได้ในหลายสาขาวิชา ปัจจุบันเรากำลังจะก้าวสู่ยุคที่เทคโนโลยีและแนวคิดดังกล่าวกำลังเป็นที่ประจักษ์ การเดินหน้าอย่างต่อเนื่องของนวัตกรรมของมนุษย์ได้นำมาสู่ระดับความเจริญรุ่งเรืองแบบที่ไม่เคยจินตนาการถึงมาก่อน และมันยังสามารถปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนในเกือบทุกด้าน
ทั้งนี้ ถึงแม้ว่า AGI จะเป็นเพียงแค่เครื่องมือหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ แต่การมาถึงของมันในครั้งนี้จะไม่เหมือนกับนวัตกรรมที่เคยได้เห็นกันมาแต่อดีต เพราะเศรษฐกิจจะโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด และโลกก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง เพียงลองจินตนาการดูว่าจะเป็นอย่างไรถ้าเราอยู่ในโลกที่เราสามารถรักษาโรคภัยได้ทุกอย่าง และมีเวลาร่วมกับครอบครัวมากขึ้น
Altman ทำนายว่า ในทศวรรษข้างหน้า ทุกคนบนโลกใบนี้อาจที่จะสามารถสร้างผลงาน หรือบรรลุผลสำเร็จได้เหนือกว่าบุคคลที่เก่งกาจที่สุดในโลกในปัจจุบัน นอกจากนี้เขายังตั้ง 3 ข้อสังเกต เกี่ยวกับ AI ในอนาคต ซึ่งจะประกอบไปด้วย
1. ความฉลาดและศักยภาพของโมเดล AI จะขึ้นอยู่กับจำนวนของทรัพยากรที่ใช้ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล, เงินทุน, พลังประมวลผล และอื่น ๆ หมายความว่า ตราบใดที่ยังมีทรัพยากรให้ใช้งานขีดจำกัดความสามารถของ AI ก็จะยิ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. ต้นทุนการใช้ AI จะลดลง 10 เท่าในทุกๆ 12 เดือน ซึ่งการที่ราคาลดลงจะส่งผลทำให้เกิดผู้ใช้งานมากขึ้น
3. มูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมของ AI จะพุ่งทะยานอย่างรุนแรงทำให้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เราจะเห็นการชะลอตัวในการลงทุนอุตสาหกรรม AI
ทั้งนี้ทั้งนั้น หากข้อสังเกตทั้ง 3 เป็นจริงขึ้นมา มันจะสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสังคมมนุษย์ และเรากำลังจะได้พบเจอกับ AI agents ในไม่ช้า
Altman อธิบายว่า สมมติว่ามี AI วิศวกรซอฟต์แวร์ ตัวหนึ่งที่สามารถทำผลงานได้เทียบเท่ากับมนุษย์ที่มีประสบการณ์ทำงานในบริษัทชั้นนำมานานหลายปี ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร หากลองจินตนาการต่อดูว่าหากจำนวนของมันเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 หรือ 1 ล้านตัว และอยู่ในทุกๆสาขาวิชาชีพ อีกทั้งเขายังเปรียบเทียบ AI ว่าเป็นเหมือนกับตัวทรานซิสเตอร์ ที่เป็นการค้นพบครั้งใหญ่และมันซึมลึกอยู่ในทุกที่โดยที่เราไม่รู้ตัว
ทั้งนี้ Altman ทำนายว่าโลกจะไม่ได้เปลี่ยนแบบพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือในทันที แต่มันจะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปในระยะยาวโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ผู้คนจะมีสิ่งใหม่ ๆ มากมายให้ทำ มีวิธีใหม่ ๆ ให้แข่งขัน และงานในอนาคตจะแตกต่างจากงานในปัจจุบันอย่างสิ้นเชิงซึ่งผลกระทบจะแตกต่างกันไปตามแต่ละอุตสาหกรรม
Altman ยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ในอนาคตราคาของสินค้าบางชนิดจะลดลงอย่างมาก แต่ราคาของสินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่มีจำกัดเช่น ที่ดิน จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของความกังวลว่า AI จะเข้ามาทำลายล้างมนุษย์ Altman ระบุว่าเขาเชื่อมั่นว่ามนุษย์ยังคงเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมและดูแลเทคโนโลยี AI แต่ในอนาคตอาจเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ เพราะจะมีกลุ่มคนที่สามารถเข้าถึง AI ได้ แต่จะมีผู้คนอีกกลุ่มไม่สามารถเข้าถึงมันได้ทำให้ศักยภาพการทำงานนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน และอาจต้องหาทางแก้ไขปัญหาในจุดนี้ต่อไป
สุดท้ายนี้ Altman ระบุว่าในปี 2035 ควรที่จะสามารถเข้าถึงความรู้อันไร้ขีดจำกัดนี้ได้ เพราะในปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากที่มีทักษะแต่ขาดแคลนทรัพยากร ดังนั้นถ้าเราเปลี่ยนแปลงในจุดนี้ได้เราอาจได้เห็นโลกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
ที่มา : Sam Altman