<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

พิมพ์เงินอีกครั้ง? FED สูญเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ใน 2 ปี ส่อแววใช้มาตรการเดิมกระตุ้นเศรษฐกิจ

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) รายงานผลขาดทุนสุทธิ 7.76 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2024 นับเป็นปีที่ ไ ติดต่อกันที่ต้องเผชิญภาวะขาดทุน หลังจากปี 2023 เคยขาดทุนไปแล้ว 1.14 แสนล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ยอดขาดทุนสะสมภายใต้การบริหารของ Jerome Powell เพิ่มขึ้นเป็น 1.92 แสนล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 2 ปี

แม้ FED ยังสามารถดำเนินนโยบายการเงินต่อไปได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากกระทรวงการคลัง แต่สถานะทางการเงินที่เคยแข็งแกร่งก็เริ่มสั่นคลอน ธนาคารที่เคยส่งกำไรคืนรัฐบาลกลับกลายเป็นผู้มีหนี้ IOU จำนวนมหาศาลสะสมไว้ในบัญชี

จากยุคกระตุ้นเศรษฐกิจสู่ยุคดอกเบี้ยสูง

ต้นตอของปัญหาเริ่มจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงการระบาดของ Covid-19 ในช่วงปี 2020–2021 ที่ FED อัดฉีดเงินจำนวนมหาศาลผ่านการซื้อพันธบัตรและหลักทรัพย์ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยค้ำประกัน ขณะนั้นอัตราดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ FED สร้างรายได้จากสินทรัพย์เหล่านี้ได้ดี

แต่เมื่อเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นในปี 2022 FED ต้องเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวกลับสร้างแรงกดดันให้กับบัญชีของ FED เอง ซึ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคารพาณิชย์จากเงินสำรองในอัตราที่สูงกว่ารายได้ที่ได้รับจากพอร์ตพันธบัตร

นับตั้งแต่เดือนกันยายน 2022 รายจ่ายด้านดอกเบี้ยของ FED เริ่มสูงกว่ารายรับ ส่งผลให้สถานะทางการเงินเข้าสู่ภาวะขาดทุนอย่างต่อเนื่อง จากองค์กรที่เคยสร้างรายได้ 109,000 ล้านดอลลาร์ให้กับกระทรวงการคลังในปี 2021 กลับกลายเป็นผู้ขาดทุนอย่างหนัก

FED ยังต้องรับภาระจ่ายเงินสนับสนุนหน่วยงานกำกับอื่น เช่น สำนักงานคุ้มครองทางการเงินผู้บริโภค (CFPB) ตามข้อกำหนดของกฎหมาย Dodd-Frank ปี 2010 แม้สถานะทางการเงินจะอยู่ในช่วงติดลบ

สร้าง IOU แทนเงินสด สินทรัพย์ที่เลื่อนชำระพุ่งไม่หยุด

เพื่อประคองสถานการณ์และไม่ต้องขอเงินจากรัฐสภา FED เริ่มบันทึก “สินทรัพย์ที่เลื่อนชำระ” (Deferred Assets) ลงในบัญชีตั้งแต่ปลายปี 2022 โดยถือเป็น IOU ที่ FED เขียนให้กับตัวเอง จากมูลค่า 16,600 ล้านดอลลาร์ในปีแรก พุ่งขึ้นเป็น 133,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2023 และล่าสุดเพิ่มขึ้นเป็น 216,000 ล้านดอลลาร์

แม้ FED จะยืนยันว่าจะสามารถชำระหนี้เหล่านี้ได้ในอนาคต แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับว่าระบบจะกลับมาทำกำไรได้เมื่อใด ซึ่งจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่ออัตราดอกเบี้ยลดลงต่ำกว่าระดับผลตอบแทนเฉลี่ยจากพอร์ตสินทรัพย์ปัจจุบัน

รายได้ลดลงแต่ต้นทุนเพิ่มขึ้น

ปัจจุบันพอร์ตสินทรัพย์ของ FED มีมูลค่ารวม 6.8 ล้านล้านดอลลาร์ โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเพียง 2.6% ขณะที่ FED ต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับเงินสำรองธนาคารในอัตรา 4.4% จากยอดเงิน 3.4 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ FED ขาดทุนทุกเดือน

FED นิวยอร์กระบุในปี 2023 ว่า หากอัตราดอกเบี้ยยังสูงกว่า 4% สถานะขาดทุนจะดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แม้ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยลดลงมาอยู่ที่ราว 4.3% จากจุดสูงสุด 5.3% เมื่อเดือนกันยายน 2024 แต่ก็ยังไม่เพียงพอให้ FED กลับมาทำกำไรได้

ความกังวลภายใน FED และแรงกระเพื่อมทางการเมือง

เจ้าหน้าที่ FED เคยแสดงความกังวลล่วงหน้าเกี่ยวกับผลกระทบทางการเมือง หากธนาคารกลางต้องเผชิญภาวะขาดทุนจากการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งขณะนี้ได้กลายเป็นความจริงแล้ว โดยเฉพาะในช่วงที่อดีตประธานาธิบดี Trump มีนโยบายขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ซึ่งอาจเร่งเงินเฟ้อให้สูงขึ้นอีก

ความไม่แน่นอนเหล่านี้ทำให้ FED ยังคงนิ่งในการประชุมครั้งล่าสุด โดย Powell ระบุว่าต้องการเวลามากกว่านี้เพื่อประเมินผลกระทบจากภาษีใหม่ที่จะประกาศในวันที่ 2 เมษายน ซึ่ง Trump เรียกว่า “Liberation Day in America”

อัตราเงินเฟ้อพุ่งไม่หยุด การบริโภคฟื้นตัวกดดันการตัดสินใจ

แม้ FED จะพยายามควบคุมเงินเฟ้อ แต่อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ซึ่งเป็นเครื่องมือวัดเงินเฟ้อหลักของ FED ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเดือนกุมภาพันธ์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% และส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อรายปีอยู่ที่ 2.7% ตามรายงานของ Bloomberg

ขณะเดียวกัน ตัวเลขการบริโภคก็เริ่มฟื้นตัว โดยมีแนวโน้มว่ารายงานของรัฐบาลที่จะประกาศในวันศุกร์นี้จะแสดงให้เห็นว่าการใช้จ่ายของผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 0.5% และรายได้ส่วนบุคคลเพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งถือเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนที่สูงที่สุดในรอบปี แม้จะสะท้อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจทำให้ FED ยังคงระมัดระวังกับการลดดอกเบี้ย

เจ้าหน้าที่ FED เริ่มส่งสัญญาณความเคลื่อนไหว

ขณะที่ FED ยังคงพยายามประเมินสถานการณ์เพิ่มเติม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของ FED หลายรายเริ่มออกมาแสดงท่าทีต่อการขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม โดยในสัปดาห์นี้ทั้ง Adriana Kugler, Alberto Musalem และ Raphael Bostic เตรียมแสดงความเห็น โดย Bostic จะให้สัมภาษณ์ผ่าน Bloomberg TV ในวันจันทร์

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนว่า FED เองยังไม่ปิดประตูต่อการขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต แม้อัตราเงินเฟ้อจะเริ่มชะลอลงบ้าง แต่ปัจจัยกระตุ้นเงินเฟอร์ใหม่ เช่น ภาษีจาก Trump ป์ หรือการฟื้นตัวของการใช้จ่าย อาจยังคงเป็นความเสี่ยงที่ FED ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด

Source: Cryptopolitan