จำกันได้ไหมว่าเมื่อก่อนการโทรหรือส่งข้อความข้ามประเทศต้องเสียค่าบริการแพงมากแค่ไหน แต่ทุกวันนี้ แอปพลิเคชันอย่าง WhatsApp ได้ทำให้ค่าใช้จ่ายเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ซึ่งทางฝั่งของคริปโตเองก็กำลังจะมีนวัตกรรมในรูปแบบเดียวกัน
กองทุนชั้นนำระดับโลกย่าง Andreessen Horowitz หรือที่รู้จักกันในชื่อ “a16z” กำลังมองเห็นศักยภาพเดียวกันในโลกของการโอนเงิน โดยพวกเขาเชื่อมั่นว่า Stablecoins สกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่ จะเข้ามาปฏิวัติวิธีการที่เราส่งและรับเงินในระดับโลกได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยการทลายกำแพงของผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดเดิม และทำให้การโอนเงินมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“การชำระเงินด้วยบล็อกเชนโดย Stablecoins กำลังเปลี่ยนแปลงการโอนเงินทั่วโลก เช่นเดียวกับที่ WhatsApp เข้ามาเปลี่ยนแปลงการโทรศัพท์หากันระหว่างประเทศที่มีค่าใช้จ่ายสูง” a16z เขียนไว้บนบล็อกโพสต์ล่าสุดเมื่อวันที่ 9 เมษายน 2025
เข้าสู่ยุคใหม่ของการชำระเงินไร้พรมแดน
ลองมองย้อนกลับไปที่โครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินทั่วโลกในปัจจุบัน จะพบว่ามันซับซ้อนและเต็มไปด้วยขั้นตอนที่ยุ่งยาก ซึ่งมันจำเป็นจะต้องมี ระบบชำระเงินหน้าร้าน (POS), ผู้ประมวลผลการชำระเงิน, ธนาคารผู้รับเงิน, ธนาคารผู้ออกบัตร, ธนาคารตัวแทนในต่างประเทศ, ตัวกลางแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และเครือข่ายบัตรเครดิต ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นตัวกลางที่เข้ามาเกี่ยวข้องในทุกๆ การทำธุรกรรม
ความซับซ้อนนี้เองที่เพิ่มต้นทุนและทำให้การทำธุรกรรมระหว่างประเทศต้องเสียเวลามากขึ้น a16z ชี้ให้เห็นว่า ค่าธรรมเนียมในการโอนเงินข้ามประเทศอาจสูงถึง 10% ซึ่งเป็นภาระที่หนักอึ้ง และชวนให้นึกถึงค่าโทรศัพท์และค่าส่งข้อความระหว่างประเทศที่มีราคาแพงอย่างมากในอดีต ก่อนที่ WhatsApp จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
Stablecoins บนโลกบล็อกเชน : ทางเลือกที่ดีกว่า
Stablecoins คือสกุลเงินดิจิทัลประเภทหนึ่งที่มีมูลค่าผูกติดอยู่กับสินทรัพย์ที่มีความมั่นคง เช่น สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้ Stablecoins มีราคาที่ค่อนข้างคงที่และคาดการณ์ได้ง่ายกว่าสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ที่มีความผันผวนสูง
a16z อธิบายว่า “Stablecoins เป็นเหมือนทางเลือกใหม่ที่ดีกว่าระบบเก่าที่ยุ่งยาก ค่าใช้จ่ายสูง และไม่ทันสมัย Stablecoins สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบนระบบบล็อกเชนทั่วโลก ทำให้การทำธุรกรรมง่ายและรวดเร็วขึ้นมาก”
นอกจากนี้ a16z ยังได้ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดเจนอีกว่า “Stablecoins กำลังช่วยลดต้นทุนการโอนเงินอย่างแท้จริง : การส่งเงิน 200 ดอลลาร์จากสหรัฐอเมริกาไปยังโคลอมเบียโดยใช้วิธีการแบบดั้งเดิมจะมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 12.13 ดอลลาร์ แต่ด้วยการมาถึงของ Stablecoins จะทำให้ค่าใช้จ่ายลดลงเหลือเพียง 0.01 ดอลลาร์เท่านั้น”
SpaceX นำร่อง ! พลิกโฉมการชำระเงินระดับองค์กร
ศักยภาพของ Stablecoins ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การโอนเงินส่วนบุคคลเท่านั้น พวกเขายังสามารถปฏิวัติการชำระเงินระหว่างธุรกิจ (B2B) ในระดับโลกได้อีกด้วย a16z ยกตัวอย่างการทำธุรกรรมระหว่างบริษัทในเม็กซิโกและเวียดนาม ซึ่งอาจต้องใช้เวลาดำเนินการนานถึง 3-7 วัน และมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 150 ดอลลาร์สำหรับการทำธุรกรรม 1,000 ดอลลาร์ โดยต้องผ่านตัวกลางหลายราย
การนำ Stablecoins มาใช้จะช่วยลดค่าธรรมเนียมเหล่านี้ลงอย่างมาก และทำให้การทำธุรกรรมเกิดขึ้นได้แทบจะทันที บริษัทที่มีวิสัยทัศน์อย่าง SpaceX ของ Elon Musk ได้เริ่มนำ Stablecoins มาใช้ในการจัดการเงินทุนสำรองของบริษัท เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการใช้งานจริงของ Stablecoins ในโลกธุรกิจ
แนวโน้มเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาด Stablecoins ที่ในปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมเกินกว่า 2 แสนล้านดอลลาร์ และมีปริมาณการทำธุรกรรมต่อปีในปี 2024 สูงถึง 15.6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าปริมาณการทำธุรกรรมของ Visa และ Mastercard รวมกันเสียอีก
อุปสรรคและการก้าวข้ามสู่การยอมรับในวงกว้าง
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของ Stablecoins ก็ไม่ได้ราบรื่นเสียทีเดียว หน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลกยังคงจับตาและตรวจสอบการใช้งานของ Stablecoins อย่างเข้มงวด ซึ่งถือเป็นอุปสรรคสำคัญในการเชื่อมโยงโลกการเงินแบบดั้งเดิมเข้ากับ Stablecoins
แต่ปัจจุบันสถานการณ์กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากหน่วยงานกำกับดูแลในสหรัฐอเมริกาเริ่มตระหนักถึงศักยภาพของ Stablecoins และกำลังทำงานอย่างหนักเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนในการยอมรับและการกำกับดูแล
a16z ได้ทำการสรุปว่า ร่างกฎหมายใหม่ที่กำลังจะออกมานั้น จะเป็นกุญแจสำคัญในการปูทางไปสู่การยอมรับและการใช้งาน Stablecoins ในระบบการเงินโลกอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับที่ WhatsApp ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการสื่อสารข้ามพรมแดนของเรา การชำระเงินด้วยบล็อกเชนและ Stablecoins ก็กำลังจะเข้ามาปฏิวัติอนาคตของการโอนเงินทั่วโลกอย่างแท้จริง
- ที่มาข่าว:coinjournal
- ที่มาภาพ:sygnumbank