ถ้าพูดถึง “บัญชีม้า” หลายคนอาจนึกถึงแค่บัญชีธนาคารที่มิจฉาชีพใช้ฟอกเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงเหยื่อ แต่ในยุคดิจิทัลแบบนี้ อาชญากรได้ทำการปรับตัวอย่างรวดเร็ว พวกเขาได้เปลี่ยนมาใช้ “บัญชีม้าคริปโทฯ” แทน
จากข้อมูลของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พบว่าในปี 2567 เพียงปีเดียว คนไทยถูกหลอกให้โอนเงินไปแล้วกว่า 37,582 ล้านบาท หรือเฉลี่ยวันละ 103 ล้านบาท
ช่วงที่ผ่านมา หลายหน่วยงานได้ผนึกกำลังกันอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการกับปัญหาบัญชีม้าอย่างจริงจัง ทว่าเหล่ามิจฉาชีพก็ไม่ได้หยุดนิ่ง พวกนี้ได้วิวัฒนาการรูปแบบของบัญชีม้าไปเรื่อย ๆ จนล่าสุด ไม่ได้จำกัดอยู่แค่บัญชีเงินฝากในธนาคารอีกต่อไป แต่เริ่มปรากฏสัญญาณของ “บัญชีม้าคริปโทฯ” ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างน่ากังวล
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ออกมาตรการอย่างเข้มงวดในการกวาดล้างบัญชีม้า ในช่วงกลางปี 2567 โดยขยายผลจากการจัดการระดับ “บัญชี” ไปสู่ระดับ “บุคคล” และในช่วงต้นปี 2568 ยังยกระดับการจัดการเพิ่มเติม ทำให้สมาคมธนาคารไทยและสถาบันการเงินสามารถอายัดบัญชีม้าได้มากกว่า 2 ล้านบัญชี หรือคิดเป็นรายชื่อผู้เกี่ยวข้องกว่า 1.5 แสนราย (ข้อมูลสะสม ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2568)
การกวาดล้างอย่างหนักหน่วงนี้ ส่งผลให้มิจฉาชีพเริ่มหาบัญชีม้าใหม่ได้ยากขึ้น และต้องมองหาช่องทางใหม่ที่ยากต่อการติดตามเส้นทางการเงิน
หนึ่งในกลยุทธ์ที่เห็นได้ชัดเจนขึ้นคือ การเปลี่ยนจากบัญชีม้าระดับบุคคลธรรมดา ไปเป็นบัญชีม้านิติบุคคล เนื่องจากบัญชีนิติบุคคลมีเพดานการโอนเงินที่สูงกว่า ทำให้สามารถรับ-โอนเงินจำนวนมาก ๆ ได้ และยังสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเหยื่อเมื่อถูกนำไปใช้ในการหลอกลวงอีกด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ปัจจุบันเริ่มมีการโอนเงินระหว่างบัญชีม้าเป็นทอด ๆ ที่สั้นลง จากเดิมที่เคยมีการโอนเงินผ่านบัญชีม้า 4-5 ทอด กระจายไปยังหลายบัญชี ก็เปลี่ยนมาเป็นการโอนเงินเพียง 1-2 ทอด ในบัญชีม้าธนาคาร แล้วรีบโอนต่อไปยังบัญชีม้าคริปโทฯ ทันที ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะการตามร่องรอยของเงินจากต้นทางไปสู่ปลายทางจะมีความซับซ้อนและยากขึ้นแบบทวีคูณ

ม้าคริปโทฯ พันธุ์ใหม่ : ร้ายกว่าที่คิด
จากข้อมูลในระบบ Central Fraud Registry (CFR) พบว่าในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2567 เพียงแค่ 3 เดือน มิจฉาชีพได้หันมาใช้บัญชีคริปโทฯ เป็นช่องทางหลักในการเคลื่อนย้ายเงินที่ได้จากการทุจริต โดยคิดเป็นมูลค่าความเสียหายถึง 75% หรือประมาณ 6,700 ล้านบาท ที่ถูกแปลงจากเงินบาทไปเป็นคริปโทฯ อย่างรวดเร็ว
การโอนย้ายดังกล่าวสามารถทำได้ภายในเวลาไม่ถึง 20 นาที ก่อนที่จะขายกลับมาเป็นเงินบาทหรือสกุลเงินอื่น ๆ เรียกได้ว่ากระบวนการ “ฟอกเงิน” สามารถจบได้ภายในวันเดียว
บัญชีม้าคริปโทฯ ซับซ้อนกว่าบัญชีม้าธนาคาร เพราะสามารถโอนเงินแบบ Peer to Peer (P2P) ซึ่งเป็นการซื้อขายโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย ผ่านแพลตฟอร์มซื้อขายต่างประเทศ จึงยากต่อการตามจับคนร้ายและคืนเงินให้เหยื่อ
แม้ธุรกรรมบนบล็อกเชนจะมีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบธุรกรรมย้อนหลังได้ แต่ถ้าไม่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งของการโอน ไม่ได้ทำการยืนยันตัวตน (KYC) เราก็จะรู้แค่ว่า เงินย้ายไปยังกระเป๋าใบไหน แต่ไม่รู้ว่ากระเป๋าใบนั้นเป็นของใคร
อย่างไรก็ตาม ภาครัฐได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการและกฎหมายต่าง ๆ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2568 รัฐบาลไทยได้ออกกฎหมายฉบับใหม่มาจัดการบัญชีม้า ซึ่งกฎหมายฉบับนี้ จะครอบคลุมไปถึง แพลตฟอร์มคริปโทฯ ในต่างประเทศ ที่เปิดให้คนไทยซื้อขายแบบ P2P ด้วย
ที่มา:ธนาคารแห่งประเทศไทย