ทีมนักวิจัยจาก JP Morgan Chase, Quantinuum และอีกหลายสถาบัน ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยการใช้ควอนตัมคอมพิวเตอร์แบบ Trapped-ion ขนาด 56 คิวบิต ของ Quantinuum สร้างตัวเลขที่มีการ “สุ่มอย่างแท้จริง” ขึ้นมามากกว่า 70,000 บิต กระบวนการนี้ใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาทีต่อบิต และไม่สามารถปลอมเลียนแบบได้ เว้นแต่ว่าคุณจะมีซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับท็อปของโลก 4 เครื่อง มาทำงานต่อเนื่องแบบไม่มีหยุด
โดยทั่วไปแล้ว ตัวเลขสุ่มที่เราใช้ในคอมพิวเตอร์เพื่อความปลอดภัยนั้น ไม่ได้สุ่มจริง แต่เป็นผลลัพธ์จาก “อัลกอริทึมจำลองความสุ่ม” ที่สร้างขึ้นจากสูตรคณิตศาสตร์ ซึ่งหากใครสามารถหาวิธีถอดรหัสหรือเดารูปแบบได้ ก็อาจเจาะระบบเหล่านั้นได้เช่นกัน
ตัวอย่างความเสียหายของเรื่องราวเหล่านี้ ก็มีให้เห็นจริงในประวัติศาสตร์ โดยปี 2010 ระบบ PlayStation ของ Sony ถูกแฮก เพราะนักพัฒนาไม่ได้ใช้ระบบสุ่มที่แข็งแกร่งเพียงพอ จนแฮ็กเกอร์สามารถแฮ็ก Private Key ได้
และในช่วงปี 2014 ถึง 2023 ก็มีเหตุการณ์ที่เรียกว่า “Polynonce attack” ซึ่งเป็นการเจาะระบบกระเป๋าเงิน Bitcoin ที่ใช้ระบบการสุ่มที่อ่อนแอ ทำให้ถูกขโมย Bitcoin ไปกว่า 140 BTC หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามล่าสุดความก้าวหน้านี้ ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature แสดงให้เห็นว่าทีมวิจัยสามารถบรรลุการสร้างเลข “สุ่มที่แท้จริง” ซึ่งหมายความว่า ตัวเลขนั้นจะไม่สามารถถูกแฮ็กได้
Duncan Jones หัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยทางไซเบอร์ของ Quantinuum ซึ่งเป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาครั้งนี้ ร่วมกับ JP Morgan ชี้ให้เห็นว่า
ผลกระทบนี้ ได้ขยายไปทั่ววงการความปลอดภัยทางไซเบอร์ การสร้างตัวเลขแบบ ‘สุ่มอย่างแท้จริง’ ขึ้นมาได้ หมายถึง คีย์การเข้ารหัสที่แข็งแกร่งขึ้นสำหรับทุกสิ่ง ตั้งแต่ระบบธนาคารออนไลน์ไปจนถึงแอปพลิเคชันของรัฐบาล แอปส่งข้อความ และโซเชียลมีเดีย
นอกจากนี้ เทคโนโลยีนี้ ยังสามารถทำให้ระบบลายเซ็นดิจิทัลมีความปลอดภัยมากขึ้น กระเป๋าเงินคริปโตมีปลอดภัยยิ่งขึ้น รวมถึงป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลได้อีกด้วย
แม้เทคโนโลยีนี้ยังไม่พร้อมสำหรับใช้งานในชีวิตประจำวัน เพราะการตรวจสอบยังต้องพึ่งพาซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีต้นทุนสูง แต่มีแนวโน้มชัดเจนว่าเรากำลังเดินหน้าสู่ยุคที่ควอนตัมคอมพิวเตอร์จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ผู้เล่นรายใหญ่หลายรายกำลังพัฒนาเทคโนโลยีนี้ให้เข้าถึงง่ายขึ้น และวันหนึ่งอาจกลายเป็นรากฐานใหม่ของความปลอดภัยดิจิทัลทั่วโลก
ที่มา:decrypt