วุฒิสภาสหรัฐฯ เตรียมลงมติครั้งสำคัญในวันที่ 19 พฤษภาคม 2025 (ตามเวลาสหรัฐฯ) เพื่อพิจารณาร่างกฎหมายที่มีชื่อว่า “GENIUS Act” หรือกฎหมายรับประกันการออกและปกป้อง Stablecoin ดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อวางกรอบการกำกับดูแลเหรียญ Stablecoin ที่ใช้ในการชำระเงิน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
ร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้รับการผลักดันจากทั้งสองพรรคการเมืองใหญ่ โดยมีวุฒิสมาชิก Bill Hagerty จากพรรครีพับลิกัน และ Kirsten Gillibrand จากพรรคเดโมแครต เป็นหัวเรือใหญ่ในการเสนอ
แม้ว่าร่างกฎหมาย GENIUS Act จะถูกมองว่า เป็นก้าวสำคัญ แต่เส้นทางสู่การลงคะแนนเสียงโหวตก็ไม่ได้ราบรื่นนัก ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังไม่สามารถผ่านด่านแรกของการลงมติปิดการอภิปรายได้ โดยมีเสียงสนับสนุนเพียง 48 เสียง ซึ่งน้อยกว่าเกณฑ์ 60 เสียงที่ต้องการ
สำหรับเสียงคัดค้านส่วนใหญ่มาจากฝั่งพรรคเดโมแครต ที่ยังคงกังวลในประเด็นสำคัญ เช่น มาตรการป้องกันการฟอกเงินที่ยังไม่รัดกุมพอ การขาดการควบคุมดูแล Stablecoin ที่ออกโดยต่างประเทศ และกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคที่ยังไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการหาทางออกร่วมกันของทั้งสองพรรคได้นำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขร่างกฎหมายครั้งสำคัญ
Eleanor Terrett นักข่าวจาก FOX Business ได้รายงานผ่านแพลตฟอร์ม X ว่า ร่างกฎหมายฉบับปรับปรุงนี้ ได้เพิ่มเนื้อหาที่น่าสนใจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับการปกป้องลูกค้าให้เข้มงวดขึ้น การกำหนดขอบเขตการคุ้มครองผู้ถือ Stablecoin ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ล้มละลายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
และสิ่งที่น่าจับตาคือ ข้อจำกัดด้านจริยธรรมที่อาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Meta และ Google รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่าง Elon Musk โดยมีการระบุห้ามไม่ให้บุคคลและบริษัทเหล่านี้ออก Stablecoin ได้
การเพิ่มเติมรายละเอียดเหล่านี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อโน้มน้าวให้สมาชิกสภาที่ยังลังเลหันมาสนับสนุนร่างกฎหมาย และเพื่อให้มั่นใจว่า กฎหมายใหม่นี้จะสอดคล้องกับเป้าหมายด้านการคุ้มครองนักลงทุนและความมั่นคงของชาติ
การพิจารณาร่างกฎหมาย GENIUS Act เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ตลาด Stablecoin ทั่วโลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 2.46 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีเหรียญ Stablecoin สองเจ้าตลาดอย่าง USDT ของ Tether และ USDC ของ Circle เป็นผู้นำ
มูลค่าที่ตรึงกับสกุลเงินจริงแบบ 1 ต่อ 1 ทำให้ Stablecoin กลายเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับนักเทรด สถาบันการเงิน และผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมด้านฟินเทค อีกทั้งการใช้งาน Stablecoin ก็ขยายวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวอย่างล่าสุดคือ การที่ Mastercard ร่วมมือกับ MoonPay ทำให้การชำระเงินด้วย Stablecoin สามารถทำได้กับร้านค้ากว่า 150 ล้านแห่งทั่วโลก ซึ่งยิ่งตอกย้ำถึงความจำเป็นในการมีกฎระเบียบที่ชัดเจน
อย่างไรก็ตาม การที่ร่างกฎหมายจะผ่านด่านสุดท้ายของวุฒิสภาได้นั้น ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากต้องได้รับเสียงสนับสนุนถึง 60 เสียง จากจำนวนสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบัน สัดส่วนที่นั่งคือ พรรคเดโมแครตและกลุ่มอิสระ 51 ที่นั่ง และพรรครีพับลิกัน 49 ที่นั่ง
ที่มา:coinpedia