ในวงการ Tokenization ที่มีการแปลงสินทรัพย์โลกจริง (RWA) เป็นโทเคนดิจิทัลบนบล็อกเชน ซึ่งกำลังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผู้เชี่ยวชาญจาก Standard Chartered ได้ออกมาให้มุมมองที่น่าสนใจว่า การแปลงสินทรัพย์เหล่านี้ จำเป็นต้องไปให้ไกลกว่าแค่การลอกเลียนแบบของที่มีอยู่เดิม แต่ต้องมุ่งเน้นไปยังจุดที่เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถเข้ามาช่วยเพิ่มคุณค่าได้อย่างแท้จริง
Geoffrey Kendrick หัวหน้าฝ่ายวิจัยสินทรัพย์ดิจิทัลของ Standard Chartered ระบุว่า ความพยายามในการแปลงสินทรัพย์ที่ไม่ใช่ Stablecoin ให้กลายเป็นโทเคนดิจิทัลนั้น ยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควร ตามรายงานบทควิเคราะห์ล่าสุด
Kendrick อธิบายว่า การนำสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงอยู่แล้วอย่างทองคำหรือหุ้นสหรัฐฯ มาแปลงเป็นโทเคน นั้นยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก นั่นเป็นเพราะว่า การนำสินทรัพย์ในโลกจริง มาอยู่บนบล็อกเชนไม่ได้ช่วยเพิ่มประโยชน์อะไรมากมายนัก เมื่อเทียบกับของที่มีอยู่ในโลกเดิม
แต่ Kendrick ได้ยกตัวอย่าง สินเชื่อส่วนบุคคลที่ถูกแปลงเป็นโทเคน ว่าเป็นตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จ และเขายังได้แนะนำอีกว่า “ความสำเร็จครั้งต่อไปจะมาจากหุ้นที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ (Private Equity ) และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ที่มีสภาพคล่องต่ำ” เพราะสินทรัพย์เหล่านี้ มีข้อจำกัดด้านสภาพคล่องและกระบวนการจัดการที่ซับซ้อนมาโดยตลอด ทำให้การ Tokenization สามารถเข้ามาตอบโจทย์ได้ดีกว่า
ถึงแม้ว่า Stablecoin จะยังคงเป็นหัวใจหลักในตลาด RWA Tokenization เนื่องจาก สินทรัพย์ในโลกจริงที่ไม่ใช่ Stablecoin มีสัดส่วนเพียงประมาณ 10% ของตลาดทั้งหมดเท่านั้น แต่รายงานของธนาคาร ก็มองเห็น “ศักยภาพการเติบโตที่สำคัญ” ถ้าหากปัญหาด้านกฎระเบียบต่างๆ ได้รับการแก้ไข
โดยปัจจุบันเริ่มมีการสนับสนุนด้านกฎระเบียบจากหลายประเทศมากขึ้น เช่น สิงคโปร์ สวิตเซอร์แลนด์ และ สหภาพยุโรป แต่สิ่งที่ยังเป็นอุปสรรคสำคัญคือ ความไม่สอดคล้องกันเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย KYC
ในรายงานล่าสุดของ Standard Chartered ยังเน้นย้ำอีกว่า การพัฒนาวงการ Tokenization ในอนาคต ควรยึดหลักการสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น เพิ่มความเร็วในการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสด การสร้างสภาพคล่องใหม่ๆ หรือการตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินเฉพาะตัวที่เกิดจากเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ จะเป็นหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนวงการ Tokenization ในอนาคต
- ที่มาข่าว:benzinga
- ที่มาภาพ:cryptodaily