<?php wp_title('|', true, 'right'); ?>

Microsoft เปิดตัว ‘AI คุณหมอ’ ตรวจแม่นกว่าคน 4 เท่า แต่ราคาถูกกว่าไปโรงพยาบาล

ติดตามสยามบล็อกเชนบนSiam Blockchain

ปัจจุบัน บริษัทยักษ์ใหญ่ต่างเร่งกระโจนเข้ามาในแวดวงของ AI และสุขภาพกันอย่างเร่งด่วน เพราะหลายฝ่ายมองว่าจะเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาที่มนุษย์กำลังประสบอยู่ ซึ่งตัวของ Microsoft เองก็ถือเป็นหนึ่งในนั้น

ล่าสุด Satya Nadella ซีอีโอคนปัจจุบันของ Microsoft ได้เปิดตัว AI ด้านสุขภาพที่ใช้ชื่อ MAI-DxO ซึ่งเป็นระบบที่ใช้จำลองการทำงานร่วมกันของแพทย์เพื่อประเมินอาการและหาหนทางรักษาคนไข้

อ้างอิงจากรายงานการทดสอบวินิจฉัยในระดับซับซ้อนของ New England Journal of Medicine จำนวน 304 เคส พบว่า AI ตัวดังกล่าวสามารถวินิจฉัยได้ถูกต้องถึง 85.5% ในขณะที่กลุ่มทดลองซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 21 ราย ที่มีอายุงานเฉลี่ย 12 ปี กลับวินิจฉัยได้ถูกต้องเพียง 20% เท่านั้น ทำให้ AI ตัวดังกล่าวเรียกได้ว่าเก่งกาจกว่าแพทย์ถึง 4 เท่าตัว แต่กลับมีค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่ามาก

มหาวิทยาลัย Johns Hopkins เปิดเผยว่า ในปีๆหนึ่ง ชาวอเมริกันจำนวนมากต้องสูญเสียเงินให้กับบริการด้านสุขภาพเป็นจำนวนถึง 5 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่มีผู้คนจำนวนกว่า 12 ล้านรายต่อปีได้รับผลกระทบจากคำวินิจฉัยผิดพลาด ซึ่งหาก AI เข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้ได้จะถือเป็นเรื่องที่ดี

AI ตัวนี้ทำงานอย่างไร

ระบบการทำงานของ MAI-DxO จะเหมือนกับการรวมตัวกันของเหล่าผู้เชี่ยวชาญหลายแขนงเข้ามาอยู่ในคอมพิวเตอร์ โดยระบบจะทำการประมวลเคสต่าง ๆ ผ่าน Sequential Diagnosis Benchmark หรือ  SDBench ที่เป็นการจำลองการทำงานของแพทย์จริง ๆ แทนที่จะเป็นการถามคำถามให้เลือกหลายคำตอบเหมือน AI test ตัวอื่น ๆ  ซึ่งภายในระบบดังกล่าวจะประกอบไปด้วย 

  • Dr.Hypothesis – ทำหน้าที่ วินิจฉัยสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดสามอันดับแรก โดยใช้ความน่าจะเป็นแบบ Bayesian
  • Dr. Test-Chooser – ทำหน้าที่เลือกการทดสอบเพื่อการวินิจฉัยได้สูงสุดสามรายการต่อรอบ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการได้มาซึ่งข้อมูลให้สูงสุด”
  • Dr. Challenger – ทำหน้าที่แย้งทฤษฏีของโมเดลก่อนหน้า ตั้งคำถามและหาหลักฐาน
  • Dr. Stewardship – ทำหน้าที่ ยับยั้งการใช้การทดสอบที่มีราคาสูงแต่มีค่าในการวินิจฉัยต่ำ
  • Dr. Checklist – ทำหน้าที่ตรวจทานความเป็นเหตุเป็นผลของการทดสอบ

พูดง่าย ๆ เลยก็คือ ระบบจะทำการจำลอง “สภาแพทย์” ขึ้นมาถกเถียงหาสาเหตุ ที่โมเดล AI แต่ละตัวจะทำหน้าที่ต่างกัน มีการเห็นด้วย มีการโต้แย้ง จนสรุปผลออกมาได้ในที่สุด 

ทั้งนี้ การใช้งาน AI ดังกล่าวก็ไม่ใช่ว่าจะฟรี แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายด้วยเช่นกัน โดยผลการทดสอบระบุว่า หนึ่งในเคสที่ MAI-DxO วินิจฉัยได้ถูกต้องเกิน 80% ใช้ค่าใช้จ่ายไปประมาณ $2,397 (77,835 บาท) ซึ่งถูกกว่าค่าใช้จ่ายจากการไปพบแพทย์จริง ๆ กว่า 20%

ขณะเดียวกัน ในเคสความถูกต้องระดับสูงสุดที่ 85.5% ใช้ค่าใช้จ่ายไปประมาณ $7,184 (233,207 บาท) ต่อเคส ซึ่งก็ยังถือว่าถูกกว่าโมเดล o3 ของ OpenAI ที่แพงกว่าและแม่นยำน้อยกว่า

นอกเหนือจากออปชันแบบดังกล่าวแล้ว ตัวของระบบยังมีโหมดอื่น ๆ อีกด้วยเช่นโหมด “คำตอบด่วนจี๋” ที่มีค่าใช้จ่ายแค่ $300 หรือเทียบเท่าการนัดแพทย์ตามปกติ แต่จะทำการวิเคราะห์จากข้อมูลพื้นฐานที่ได้รับมาเท่านั้น 

ถัดมาจะเป็นโหมด “ถามอย่างเดียว” ที่เปิดให้ผู้ใช้ถามได้โดยไม่ต้องนำข้อมูลไปทดสอบ ต่อมาจะเป็นโหมด “คุมงบ” ที่จะพยายามให้คำตอบที่ดีที่สุดตามงบที่มี แต่ถ้าหากเรื่องเงินไม่ใช้ปัญหาพวกเขาก็มี โหมดความแม่นยำสูง และโหมดไม่จำกัดงบให้เลือกใช้เช่นกัน

อนาคตการแพทย์

ปัจจุบัน Microsoft ได้รับรายงานว่า มีคำถามด้านสุขภาพกว่า 50 ล้านข้อเกิดขึ้นทุกวันทั่วโลก หากนับเฉพาะเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ของ Bing และ Copilot ซึ่งคำถามก็มีตั้งแต่อาการปวดเข่าไปจนถึงอาการสาหัสที่ต้องเร่งรักษา ทำให้พวกเขาตัดสินใจเดินหน้าเข้ามายังอุตสหกรรมสุขภาพ

ทั้งนี้ การพัฒนา MAI-DxO เป็นเพียงแค่ก้าวแรก หรือจุดเริ่มต้นเท่านั้น โดย Microsoft พัฒนามันให้เป็นโมเดลแบบที่สามารถทำงานร่วมกับโมเดลของบริษัทอื่นได้ โดยผลการทดสอบเผยว่า โมเดลจาก OpenAI, Google, Anthropic, Meta และอื่น ๆ ทำงานได้ดีขึ้นถึง 11% จากปกติ

อย่างไรก็ตาม MAI-DxO ยังคงอยู่ในช่วงการทดสอบแบบปิดในห้องแล็บในขณะนี้ และทางบริษัทยังคงต้องปรับแต่งอีกมากเพื่อให้มั่นใจว่า AI จะมีความรับผิดชอบและสามารถทำงานร่วมกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย

ที่มา : Decrypt